นักลงทุนชาวจีนยังคงเทเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์การเลือกตั้งทั่วไปของไทยยังอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอน ซึ่งอีกนัยหนึ่งนับเป็นการตอกย้ำความนิยมของประเทศไทยที่มีต่อคนจีน โดยคนจีนมองว่าประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ในช่วงวันหยุดต่างๆ
ตามข้อมูลจาก ‘จูเว่ย’ (Juwel.com) เว็บไซต์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ของจีน กล่าวว่า ในปี 2561 ไทยเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพ ซึ่งนับเป็นการกระโดดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากลำดับที่ 6 ในปี 2559
'แครี่ ลอว์' ซีอีโอจูเว่ย กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ แต่บริษัทไม่ได้มองว่า ปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งจะเกี่ยวข้องกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของคนจีน
“แม้ว่าการเลือกตั้งจะสำคัญกับประเทศไทยมาก แต่ผู้ซื้อที่เราทำงานด้วยทั้งหมดไม่ได้มีความกังวลกับผลลัพธ์มากนัก” แครี่ กล่าว
แม้ว่าการรัฐประหารครั้งล่าสุดจะเป็นครั้งที่สองภายในระยะเวลาน้อยกว่า 10 ปี การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ได้มีผลในการชะลอการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ไทยแต่อย่างใด
นันท์มนัส จิวัฒน์ธนากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจต่างประเทศ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ เป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ตั้งหน่วยธุรกิจต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2557 หลังจากเห็นตัวเลขผู้สนใจลงทุนชาวต่างชาติเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ซื้อชาวจีนคิดเป็นร้อยละ 70 ของยอดขายจากผู้ซื้อชาวต่างประเทศของบริษัท ส่งผลให้บริษัทตั้งโชว์รูมทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อความสะดวกต่อผู้ซื้อ
โดยเธอยืนยันว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้ซื้อชาวต่างชาติไม่มีความกังวลต่อการเมืองไทยในเพราะไทยยังคงมีเศรษฐกิจ ธุรกิจ และกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่ดีและเข้มแข็งแม้จะมีการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลหลายครั้ง
ทำไมจีนชอบไทย
นันท์มนัส กล่าวด้วยว่า สาเหตุหนึ่งที่ผู้ซื้อชาวจีนเลือกมาลงทุนในประเทศไทยมาจากราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2 เท่าในทศวรรษที่ผ่านมา นักลงทุนจึงมองว่าไทยเป็นประเทศที่สามารถเพิ่มมูลค่าความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านการเงินไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวในการซื้อบ้านในไทยเพราะหลายคนซื้อบ้านพักตากอากาศหรือบ้านสำหรับวัยเกษียณเพื่อมาผักผ่อนในประเทศไทยจริงๆ
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์จูเว่ย ประเทศไทยได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 4 ในการลงทุนของชาวจีนด้านอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 ด้วยมูลค่ากว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.22 หมื่นล้านบาท ตามหลังเพียงสหรัฐฯ ฮ่องกง และออสเตรเลีย ที่มูลค่า 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4.4 แสนล้านบาท ตามลำดับ
อ้างอิง; CNBC
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :