นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเสียงเรียกร้องจากทั้งฝ่ายการเมืองและนักธุรกิจให้คลายล็อกสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อมีจำนวนน้อยลง หลายจังหวัดไม่มีผู้ติดเชื้อติดต่อกันหลายวันแล้ว ว่า ถึงตอนนี้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างมากจากการล็อกดาวน์ คาดการณ์ว่าจะมีคนตกงานนับล้าน อาจมีกิจการต้องปิดตัวลงเพิ่มขึ้น ตนเห็นว่าแม้รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการบริหารงานและการตัดสินใจทางการเมืองก็ตาม แต่ปัญหาเศรษฐกิจครั้งนี้สาหัสและกว้างขวางกระทบคนทั้งประเทศ ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะรับผิดชอบผลกระทบทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไหวหรือไม่ ตนขอตั้งข้อสังเกต 3 ข้อ
1. ในการจัดการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสหรือศึกโควิด-19 นั้นอาจใช้อำนาจตามกฎหมายทำให้เกิดระยะห่างทางกายภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ระบาดได้ เช่น การปิดกิจการ ปิดโรงเรียน ห้ามเข้าประเทศ แต่ความท้าทายของรัฐบาลต่อไปนี้คือการจัดการศึกเศรษฐกิจ ซึ่งคนละเกม ไม่อาจใช้แต่อำนาจทางกฎหมายให้มีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น ให้คนมีรายได้ หรือให้เศรษฐกิจเติบโต ถ้าทำได้ง่ายคงทำไปแล้ว
2. ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลตระหนักในความลึกและความกว้างและความซับซ้อนของศึกเศรษฐกิจแค่ไหน วิกฤตครั้งนี้ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา การคลายล็อกช้าก็ย่อมทำให้แผลเศรษฐกิจบาดลึกมากขึ้น รัฐบาลก็จะได้โจทย์ยากขึ้นต้องแก้
3. มีผลโพลที่ประชาชนต้องการให้ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉิน รัฐบาลควรรับฟังและต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการคุมตัวเลขการติดเชื้อกับการคืนความเป็นปกติสุขให้ประชาชน ยาแรงย่อมมีผลข้างเคียง รัฐบาลเห็นจุดสมดุลหรือไม่ ถ้าตัดสินใจไม่ทันสถานการณ์ในทำนอง too little too late น้อยเกินไปและช้าเกินไป ก็ย่อมมีผลกระทบตามมา
"ในทางการเมืองอยูที่รัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งต้องรับผลจากการตัดสินใจ ทั้งทางบวกและลบ แต่ในทางเศรษฐกิจนั้นคนที่ต้องรับผลจากการตัดสินใจของรัฐบาลคือภาคธุรกิจและคนไทยทั้งประเทศ เวลานี้ประชาชนรอการบริหารงานด้วยความสามารถและการตัดสินใจที่เฉียบคม รวดเร็วถูกเวลา" นายนพดล กล่าว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :