ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงกับสื่อมวลชน หลังเข้าทำงานวันแรก ที่ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ถึงประเด็นที่ถูกจับตาหลังจากเปิดตัวคณะทำงาน หนึ่งในนั้นคือ ศนิ จิวจินดา ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งในอดีต ศนิ ถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องกับการปั่นหุ้น เมื่อปี 2557
โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง พร้อมกับพวกรวม 13 ราย เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2564 กรณีสร้างราคาหุ้น “เกียรติธนา ขนส่ง” หรือ KIAT ซึ่งมีผลทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 7.75 บาท เป็นราคา 15.60 บาทระหว่างวันที่ 4 - 2 ธ.ค. 2557
ซึ่ง ก.ล.ต. มีมาตรการทางแพ่งสั่งปรับ รวม 291.17 ล้านบาท ทำให้ถูกมองว่า การแต่งตั้งบุคลที่เคยมีความเกี่ยวกับการปั่นหุ้น หมาะสมหรือจะส่งให้ภาพลักษณ์ของ ชัชชาติ เสียหายหรือไม่ เนื่องจาก ชัชชาติ เคยหาเสียงเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นใน กทม.
ชัชชาติ ชี้แจงว่าได้ตรวจสอบประวัติของ ศนิ ก่อนแต่งตั้งให้เป็นคณะทำงานอย่างรอบคอบแล้ว และทราบมาในอดีต กลต.สั่งปรับในเรื่องดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องในอดีตตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งเป็นความผิดพลาด และความเข้าใจผิดในการซื้อขายหุ้นดังกล่าว โดยถูก ก.ล.ต.สั่งปรับตามระเบียบแล้ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ใช่คดีอาญาและไม่ได้ถึงชั้นศาลไม่ผิดระเบียบ ของ กทม.
สำหรับตำแหน่งที่เซ็นแต่งตั้ง ศนิ เป็นตำแหน่งผู้ช่วยเลขาฯไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเงิน แต่เป็นงานด้านเอกสาร มั่นใจในศักยภาพของ ศนิ ว่าจะสามารถร่วมงานกันได้อย่างดีเนื่องจากรู้จักกันมาก่อน
ชัชชาติ กล่าวภายหลังร่วมหารือบริษัทกรุงเทพธนาคมนานกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อดูรายละเอียดสัญญาการเดินรถและสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมถึงการนำสายสื่อสารลงดิน
ชัชชาติ ระบุว่า ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีเขียวคาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 1 เดือนซึ่งการหารือกับกรุงเทพธนาคมวันนี้ทำให้ได้เห็นสัญญาการเดินรถที่จะสิ้นสุดในปี2585 ซึ่งเป็นตัวที่ก่อให้เกิดภาระหนี้สินจึงต้องนำข้อมูลมาตรวจสอบว่าภาระหนี้สินเกิดจากอะไร และสัญญาได้รับการอนุมัติจากสภากทม.หรือไม่ ซึ่งขออย่าเอาหนี้สินมาเป็นตัวเร่งรัดการตัดสินใจระยะยาว แม้ว่าจะมีดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นกทม.ยังมีข้อบัญญัติในการกู้เงินที่จะนำมาชำระหนี้สินได้โดยเป็นข้อบัญญัติที่ต้องผ่านสภากทม.ก่อน และเป็นการกู้เงินจากรัฐจะได้ดอกเบี้ยที่ถูกลงกว่าเอกชนกู้ซึ่งย้ำว่าต้องดูรายละเอียดให้รอบคอบก่อน
ส่วนการขยายสัญญาสัมปทานที่จะหมดในปี2572 นั้น ชัชชาติ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการหารือเพราะยังมีส่วนที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักการจราจร และขนส่งกรุงเทพมหานคร หรือ สจส. และ สภากทม. ต้องเข้ามาพูดคุยกันถึงข้อมูลและทบทวนการต่ออายุสัญญาโดยให้ สภากทม.ดูเนื้อหาอย่างละเอียดตามแนวทางปฎิบัติ เพราะสัญญาเดิมที่ค้างอยู่ในครม.ขณะนี้เกิดขึ้นจากการพิจารณาของคณะกรรมการที่ถูกตั้งขึ้นโดยใช้ ม.44 ทั้งนี้ หากศึกษารายละเอียดเชื่อว่าจะมีจุดที่ทำให้สัญญาถูกลงได้ เพราะที่ผ่านมาไม่มีการใช้พรบ.ร่วมทุนเข้ามาแข่งขัน
ส่วนจะทำราคาค่าโดยสารถูกลงจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะอยู่ในราคา 25 บาทนั้น ชัชชาติ ระบุว่า เป็นเป้าหมายที่ตั้งใจจะทำ และมีความเป็นไปได้ แต่ยอมรับว่าก็มีปัจจัยอื่นที่ควบคู่ไปด้วยเช่นโครงสร้างหนี้พื้นฐานที่จะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงกำไรและขาดทุน พร้อมมองว่าอีกหนึ่งแนวทางที่จะลดภาระหนี้สิน คืออาจจะเริ่มเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายทั้งสองส่วน เพราะปัจจุบันการให้บริการฟรีอาจจะไม่สมเหตุสมผล และส่งผลกระทบต่ออาชีพการให้บริการรถขนส่งสาธารณะที่จะขาดรายได้ ทั้งนี้ ต้องดูความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นประชาชนและเอกชนด้วย
ชัชชาติ ระบุต่อว่า หลังจากได้ข้อสรุปจะต้องรายงานต่อ พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจะรับสรุปข้อมูลเพื่อเข้าหารือให้เร็วที่สุดและคงยังไม่เข้าไปรายงานที่ประชุมครม. และย้ำว่า สิ่งที่ กทม.อยากทำมากที่สุด คือการเร่งคืนหนี้สินให้รัฐบาลให้เร็วที่สุด และอยากขอให้ กทม.มาดูแลเรื่องการเดินรถเองเพราะถือเป็นสมบัติของเมือง
ส่วนกรณีหารือในประเด็นสายสื่อสารลงดินนั้น ชัชชาติ ระบุว่า ยังไม่มีความคืบหน้าเพราะขณะนี้มีปัญหาเรื่องรายได้และผู้เข้ามาดำเนินการ ที่มีสัญญาจ้าง 4 ฉบับ กรอบวงเงิน 19,000 ล้านบาท เพราะเป็นรูปแบบที่ไม่เจออะไรหน้างาน จึงต้องเข้าไปศึกษารายละเอียดข้อมูล ถือเป็นสิ่งที่ประชาชนอยากเห็นความก้าวหน้าและจะต้องไม่เป็นภาระของผู้บริโภคเพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
“ส่วนการหารือกับองค์การต่อต้านคอรัปชั่นจะมีการหารือกันในวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายนนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้ใจให้กับประชาชน เพราะการบอกว่าตนเองโปร่งใส ใครก็ไม่เชื่อ แต่ถ้ามีผู้มาร่วมสังเกตและให้ข้อแนะนำ และมีการตรวจสอบจะทำให้มีความมั่นใจในการทำงานได้ดีขึ้น ถ้าเรากลัดกระดุมเม็ดแรกถูกก็จะไปต่อได้” ชัชชาติ กล่าว