วันที่ 9 ม.ค. ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ แถลงข่าวสืบเนื่องจากกรณีที่ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า นักการเมืองระดับอดีตรองนายกรัฐมนตรีรายหนึ่ง มีพฤติกรรมคบชู้กับภรรยาของผู้อื่น โดยมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายและข้อความในแชต
โดย ษิทรา กล่าวว่า ตนได้รับแจ้งกรณีดังกล่าวจากผู้เสียหายคือสามีของหญิงที่คบชู้ ตั้งแต่ 2 เดือนผ่านมา หรือ ธ.ค. 2565 ไม่ได้เกิดขึ้นนานเมื่ออดีตตามที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุ
โดยผู้เสียหายเห็นว่า ท่าทีของภรรยาเปลี่ยนไป จึงจับสังเกตพฤติกรรม ดูโทรศัพท์ของภรรยาจนพบข้อความแชตกับชายอื่น รวมถึงภาพเปลือยของภรรยาและชู้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้เสียหายแล้วเห็นภาพแล้วจึงตกใจ เพราะรู้จักดีว่าเป็นอดีตรองนายกฯ
ษิทรา คาดว่า พฤติกรรมการคบชู้เริ่มตั้งแต่ประมาณ ต.ค. 2565 และผู้เสียหายมาร้องทุกข์กับตนในช่วง ธ.ค. 2565 เมื่อได้สอบถาม ทราบว่า ฝ่ายภรรยาไม่ยอมหย่า ตนจึงเห็นว่าคดีนี้สามารถฟ้องหย่าได้ และคดีนี้เป็นคดีทางแพ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับทางอาญา สามารถฟ้องชู้เพื่อเรียกค่าทดแทนจากทั้งภรรยาและชู้ได้
ษิทรา ได้ฟ้องร้องเมื่อปลายปี 2565 เรียกค่าเสียหาย รวมถึงฟ้องหย่า โดยไม่ได้คิดว่าจะเป็นข่าวขึ้น แต่ปรากฏผู้เสียหายถูกระราน เช่น มีชายฉกรรจ์ตามมาที่คอนโดฯ และเมื่อรองนายกฯ คนดังกล่าว รู้ว่ากำลังจะถูกฟ้องร้อง จึงพยายามตีตนออกห่างจากภรรยา และขอทวงเงินที่เคยให้ไว้โดยสิเน่หาคืน
"ระดับนี้เขารู้จักตำรวจมากมาย จึงไปแจ้งความภรรยากลับว่าเป็นการฉ้อโกง หลอกลวง มีเหตุให้ต้องไปโรงพัก รองนายกฯ เดินทางมาที่โรงพัก และชายฉกรรจ์มาล้อมตัวผู้เสียหาย จากนั้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกไป เขาจึงเกิดความกลัวว่า มาที่โรงพักแล้วยังไม่ปลอดภัยเลย หากวันนั้นมีการยิงกันที่โรงพักจะเกิดอะไรขึ้น ไปที่คอนโดฯ ก็ยังมีชายชุดดำตามไปราวี กลัวว่าจะถึงแก่ชีวิต จึงได้กระจายข่าวมายังสื่อมวลชน เพื่อปกป้องตัวเอง"
ษิทรา ระบุต่อไปว่า แม้เป็นอดีตรองนายกฯ ก็ควรมีคุณธรรมจริยธรรม และหวังให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ของสังคม ส่วนเหตุที่บอกชื่อรองนายกฯ คนดังกล่าวตรงๆ ไม่ได้ เพราะทุกครั้งในคดีที่เป็นข่าว ตนจะถูกฟ้องหมิ่นเสมอ แต่สามารถบอกคุณลักษณะต่างๆ ได้ เช่น เป็นอดีตรองนายกฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย และชอบตีกอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์ ไม่มียศทางตำรวจ และอายุมากแล้ว
ษิทรา ย้ำว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ในมุมหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ตนต้องขอป้องกันตัวเองก่อนจึงยังไม่เผยตัวบุคคล ส่วนบุคคลนี้เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อนหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่หากเป็นระดับรองนายกฯ เมื่อถูกถามแล้วยังปฏิเสธเช่นนี้ ก็เรียกว่าไม่น่าเชื่อถือ
ษิทรา ยังกล่าวถึงการที่ตนได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพราะตนก็เหมือนประชาชนทั่วไปที่ชื่นชอบพรรคการเมืองไหน ก็อยากไปสมัครสมาชิก มองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคประชาธิปไตย นโยบายทำได้จริง แก้ปัญหาปากท้องได้
"ก็ไม่รู้ว่าการที่ผมออกมาพูด พรรคเพื่อไทยจะมาเกี่ยวอะไรด้วย คนๆ นี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เพราะอดีตรองนายกฯ พ้นจากตำแหน่ง ออกจากพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2561 ก่อเหตุเกิดปี 2565"
ษิทรา ยังกล่าวว่า ตนมองพรรคเพื่อไทยเป็นเหมือนบ้าน อยากให้บ้านหลังนี้สะอาดเรียบร้อย เอาสิ่งไม่ดีออกไป แต่สิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ได้อยู่ในพรรคแล้ว แต่นั่นคงจะไม่สามารถไปโยงหรือเปรียบเทียบกับอีกคดีที่เกิดขึ้นกับที่พรรคการเมืองหนึ่งไม่ได้ จึงต้องป้องปรามไว้ก่อน ไม่ให้พรรคเพื่อไทยที่ตนรักเสียหาย พร้อมย้ำว่า ขณะนี้อดีตรองนายกฯ ดังกล่าวไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมือง และไม่เกี่ยวข้องพรรคการเมืองใด
โดยคดีดังกล่าวได้ฟ้องไปเมื่อ 3 ก.ย. 2565 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางกำหนดนัดสืบพยาน 21 มี.ค. 2566 แต่ปัจจุบันภรรยายังไม่ยอมหย่า เพราะคิดว่ายังรักกันอยู่