พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่าจากการรับฟังรายงาน พบผู้ติดเชื้อลดลง เพราะมีการตรวจสอบควบคุมพื้นที่มากขึ้น โดยได้ตรวจสอบทุกหน่วยงานว่ามีปัญหาหรืออุปสรรค์อะไรบ้าง ซึ่งสาเหตุเบื้องต้นมาจากแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาผิดกฎหมาย
นายกรัฐมนตรี ยังกังวลกับแรงงานที่ไม่ได้ลงทะเบียน และมีการหลบเลี่ยง มีการจ้างงานจากพวกที่เห็นแก่ตัว ในราคาถูก ไม่เป็นไปตามกฎหมายแรงงาน และมีกระบวนการส่งแรงงานผิดกฏหมายเข้ามา ซึ่งวันนี้ได้สั่งการ ให้รื้อระบบทั้งหมด ในการติดตามแรงงานเหล่านี้ สิ่งที่กังวลในขณะนี้ คือผู้ประกอบการนำแรงงานผิดกฎหมายไปปล่อยทิ้ง ซึ่งในการประชุม ศบค.พรุ่งนี้ (24 ธ.ค. 2563) จะได้ข้อยุติ โดยจะมีการหามาตรการในการควบคุมต่อไป เบื้องต้นให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน ขึ้นทะเบียนแรงงานชั่วคราวโดยใช้บัตรชมพู เพราะถ้าหากดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่างเข้มงวดจนเกินไป ก็จะมีการนำแรงงานไปปล่อยทิ้งอีก
นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค. จะพิจารณามาตรการช่วงปีใหม่ และมาตรการที่จะทำต่อไปในช่วงนี้ ซึ่งวันนี้ได้มีการกำหนดโซนพื้นที่แพร่ระบาดมาก และระบาดน้อย ให้แต่ละจังหวัดกำหนดสีต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งจะมีมาตรการเฉพาะว่าทำอะไรได้บ้าง จึงขอแจ้งเตือนให้ทราบ ว่าเราอาจจะต้องลำบาก เสียสละ เพราะหากแก้ปัญหาไม่ได้ในช่วงนี้ ก็จะทำให้มีปัญหาได้ต่อไป สิ่งสำคัญที่สุดคือการเสนอข่าวของสื่อมวลชน ที่อยากให้มีการตรวจสอบก่อน ว่าอย่าเอาข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไปนำเสนอ เพราะจะทำให้เกิดความตื่นตระหนก เสียหาย รับรู้ไปจนถึงต่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี ยืนยัน ว่าการแพร่ระบาดรอบนี้ เป็นการแพร่ระบาดที่รู้ที่มา และสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ และมีมาตรการด้านสาธารณสุขครบถ้วน ไม่ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นว่าประเทศไทยกลับมาสู่การระบาดขั้นร้ายแรงอีก ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของเรา ตนคิดว่าเราทำมากกว่าประเทศอื่น จึงอยากขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนให้ระวังการนำเสนอข่าว อะไรที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเมื่อเผยแพร่ไปแล้ว ก็จะทำให้เกิดปัญหา ที่ผ่านมารับฟังทุกภาคส่วน แต่แยกแยะข้อมูลจริงเท็จ ขอร้องไปยังผู้ที่ใช้โซเซียลมีเดีย ที่มีการนำเสนอข้อมูลเท็จ มันไม่เกิดประโยชน์กับประเทศไทยของเรา อยากถามว่าเป็นคนไทยหรือไม่ เพราะถ้าเป็นคนไทยต้องช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ใช่ปกปิด แต่ต้องเขียนข้อเท็จจริง และขอให้ทุกคนมองผลประโยชน์ของชาติ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วจะอยู่กันอย่างไร หากอยากให้ดีขึ้น ทุกคนต้องช่วยกัน สิ่งดีๆมีเยอะแยะ อย่าไปขยายความขัดแย้งมากนัก
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินคดีต่างๆในช่วงนี้ ว่า ขอย่าขยายความขัดแย้งกันมากนัก "เดี๋ยวก็ไปเรื่องนั้น เรื่องนี้ ไปเรื่อยเปื่อย" ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลายคดีเป็นเรื่องของศาล และยืนยันว่า ตนเองไม่ได้ไปสั่งการอะไร ถึงแม้จะเป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษ ก็เป็นเรื่องของศาล ในการพิจารณาว่าจะลงโทษหรือไม่ลงโทษ แต่หลายคนเมื่อได้รับการพิจารณาว่าไม่มีความผิด กลับไม่มีการพูดถึงกันเลย ซึ่งคนผิดก็คือคนผิด ส่วนผิดมากผิดน้อย ทางศาลก็เป็นผู้พิจารณาด้วยความเป็นธรรม เพราะนั่นคือกระบวนการศาลกระบวนการยุติธรรมของเรา จะทำตามใจชอบของใครไม่ได้
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำอีกว่า ตนเองไม่ได้ไปก้าวล่วงอำนาจศาล และกระบวนการยุติธรรมอย่างเด็ดขาด จึงขอให้ทุกคนร่วมมือกันโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นร้ายแรงเหมือนกับประเทศอื่นๆ
นายกรัฐมนตรีประชุมพิจารณาจัดทำงบรายจ่ายปี 2565 คาดหากมีวัคซีนโควิดรายได้ของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น ยืนยันสถานะการเงินของไทยยังแข็งแกร่งมีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก ขอทุกฝ่ายให้ความร่วมมือรัฐบาล อย่าเอาแต่เรียกร้องอย่างเดียว
นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ได้นำทุกประเด็นมาหารือร่วมกันหลังจากที่นำเข้าที่ประชุม ครม.ไปแล้ว เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป คาดว่าสถานการณ์ว่าในปี 2564 และปี 2565 ถ้ามีวัคซีนป้องกันโควิด การค้าการลงทุน รายได้ของรัฐก็จะเพิ่มมากขึ้น แต่ขณะนี้ต้องยอมรับว่ารัฐมีรายได้ลดลงมากพอสมควรในภาคการท่องเที่ยว และต้องนำรายได้บางส่วนไปดูแลเกษตรกรและผู้ที่มีรายได้น้อยจำนวนมากพอสมควร จึงต้องนำประเด็นต่างๆมาทบทวนทั้งหมด รวมไปถึงการลงทุน ที่มอบหมายให้ บีโอไอ ไปหาวิธีการสนับสนุนการลงทุนในประเทศ เพื่อช่วยแก้ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็ง
พร้อมยืนยันสถานะทางการเงินของประเทศไทยถือว่าแข็งแกร่งมากที่สุดในขณะนี้มีเงินในระบบจำนวนมาก จึงต้องสนับสนุนการลงทุนที่มาจากต่างประเทศ แต่ต่างประเทศก็ยังมีปัญหาการเข้าออกจากปัญหาโควิด ขอให้ทุกคนอย่าตื่นตระหนก ขอให้ยึดมั่นดำรงไว้ถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนและประชาชนถ้าหากเรียกร้องอย่างเดียวรัฐบาลก็คงทำอะไรไม่ได้มากนั้นหาก ถ้าไม่ร่วมมือก็ทำลำบาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :