ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทยแถลงการณ์ว่า จะเริ่มฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 5-11 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ หลายประเทศกำลังศึกษาและถกเถียงกันไปไกลอีกหนึ่งสเต็ป ว่าจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องฉีดวัคซีนให้ ‘เด็กเล็ก’ ที่อายุต่ำกว่า 5 ปี
เด็กมีโอกาสติดโควิดเท่ากับผู้ใหญ่
เด็กเล็กมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อโควิด-19 ได้เท่ากับผู้ใหญ่ สามารถป่วยหนัก มีอาการแทรกซ้อนทางสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวจากโควิด และสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนได้
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ สนับสนุนให้เด็กอายุ 5-11 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีน เนื่องจากตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่าเด็กในช่วงอายุดังกล่าวติดเชื้อโควิดประมาณ 2 ล้านคน จาก 28 ล้านคนในสหรัฐฯ
CDC ระบุว่า โควิด-19 สามารถทำให้เด็กป่วยหนักและต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และในบางสถานการณ์ ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้ออาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้ โดยเด็กที่มีโรคประจำตัวมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยรุนแรงจากโควิด-19 มากกว่าเด็กที่ไม่มีโรคประจำตัว
ในช่วงกลางเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา เด็กในสหรัฐฯ อายุ 5-11 ปีต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 มากกว่า 8,300 ราย และเสียชีวิตจากโควิด-19 เกือบ 100 ราย CDC ระบุด้วยว่าขณะนี้ โควิด-19 เป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กอายุ 5-11 ปี ในภาพรวม มีเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ในสหรัฐอเมริกาเสียชีวิตจากโควิด-19 ประมาณ 1,045 คน ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดเกิดขึ้น
หลายประเทศทั่วโลกทยอยฉีดวัคซีนให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
หลายประเทศในโลกทยอยอนุมัติและให้บริการฉีดวัคซีนกับเด็กอายุ 5-11 ปีมาตั้งแต่ปลายปี 2021 เช่น องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ อนุมัติให้เริ่มฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุ 5-11 ปี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
จากการรวบรวมข้อมูลบางส่วนของ ‘วอยซ์’ พบว่า ขณะนี้อายุขั้นต่ำที่สุดที่รัฐบาลอนุญาตให้ฉีดวัคซีนคือ 2 ขวบ (ประเทศเวเนซูเอลา) โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5 ปี วัคซีนที่หลายประเทศอนุญาตให้ใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี คือ วัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็ก ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค วัคซีนชนิดนี้มีปริมาณต่อโดสน้อยกว่าวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่ โดยเข็มที่ 2 ควรฉีดห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 8 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามพบ วัคซีนซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ในบางประเทศ และวัคซีนโซเบอรานา-02 ที่ผลิตโดยประเทศคิวบา
‘เด็กเล็ก’ ต่ำกว่า 5 ขวบ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น 3 เท่าในรอบหนึ่งปี
ตั้งแต่ปีใหม่ที่ผ่านมาท่ามกลางการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส สายพันธุ์โอไมครอน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ รายงานว่ามีจำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ยังไม่มีสิทธิรับการฉีดวัคซีนติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น
“เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราเห็นอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นสำหรับเด็กอายุ 0-4 ปี ซึ่งยังไม่มีสิทธิได้รับวัคซีนโควิด-19” ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการของ CDC ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์
ในวันปีใหม่ที่ผ่านมา มีเด็กอายุ 4 ปีหรือน้อยกว่า เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะติดเชื้อโควิดในอัตราที่มากกว่าเดือนธันวาคม ปี 2021 ถึง 2 เท่า และเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่เด็กวัย 5-11 ปีที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะโควิด-19 มีอัตราเท่าเดิมมาเป็นเวลาหลายเดือน
โลกยังไม่มีวัคซีนที่ใช้เฉพาะกับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
สำนักข่าวเดอะวอชิงตันโพสต์ รายงานว่า เด็กที่เข้าเกณฑ์เกือบ 23 ล้านคนในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับวัคซีนป้องกันโคโรนาไวรัสอย่างน้อยหนึ่งโดสแล้ว ตั้งแต่มีการอนุมัติให้เด็กอายุ 5-11 ปีเข้ารับการฉีดวัคซีนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
แต่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนและแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของจำนวนเด็กเล็กที่ติดเชื้อโควิดที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หลายครอบครัวต่างรอคอยวัคซีนสำหรับเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาทดลอง โดยยังไม่มีกำหนดว่าเมื่อใดที่วัคซีนป้องกันโคโรนาไวรัสจะพร้อมสำหรับเด็กเล็ก แต่คาดว่าอาจจะเป็นช่วงครึ่งแรกของปี 2022
เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา บริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคของเยอรมนีประกาศว่า พวกเขากำลังแก้ไขการทดลองทางคลินิกสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี พร้อมระบุว่า จากผลการศึกษา พบว่าวัคซีนจำนวนสองโดสซึ่งเหมาะสำหรับเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป สามารถกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่เพียงพอในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี แต่ในเด็กอายุ 2-4 ปี ไม่สามารถกระตุ้นการตอบสนองเท่ากับที่เกิดขึ้นในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาการเพิ่มวัคซีนเข็มที่สามในเด็กกลุ่มดังกล่าว
"เราต้องการวัคซีนสำหรับเด็กเหล่านี้”
ฌอน โอเลียรี รองประธานคณะกรรมการด้านโรคติดเชื้อต่อของสถาบันการศึกษาด้านกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ยืนยัน อย่างไรก็ตาม วัคซีนสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบอาจไม่สามารถเปลี่ยนคลื่นปัจจุบันของการติดเชื้อที่เกิดจากสายพันธุ์โอไมครอนได้ทันเวลา เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญหลายคนวิเคราะห์ว่า อาจใกล้ถึงจุดสูงสุดของการแพร่ระบาดแล้วในบริบทของประเทศสหรัฐอเมริกา
ผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดวัคซีนในเด็ก
แน่นอนว่าพ่อแม่และผู้ปกครองหลายคนเป็นกังวลเรื่องผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับลูกของตนเอง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ ยืนยันว่า วัคซีนสำหรับเด็กนั้นปลอดภัย แต่อาจเกิดผลข้างเคียงที่ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ รายงานไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า อาการข้างเคียงที่พบมากที่สุดหลังฉีดวัคซีนเข็มหนึ่งและสองในเด็กอายุ 5-11 ปี คือการรู้สึกเหนื่อยล้า ตามมาด้วยอาการปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อ อาการอื่นๆ ที่พบแต่น้อย (ต่ำกว่า 10% ลงมาจากจำนวนผู้ถูกสำรวจ) ได้แก่ ท้องเสีย หนาวสั่น มีไข้ ปวดข้อ และอาเจียน
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่บริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคพบในระหว่างการทดลองทางคลินิก คือ เด็กอายุ 5-11 ปี ผิวหนังมีแดงและบวมบริเวณที่ฉีดมากกว่าวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ เด็กยังรายงานว่ามีอาการปวดบริเวณที่ฉีดหลังจากเข็มแรกและเข็มที่สองมากกว่าผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2021 มีรายงานคนที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบมากกว่าหนึ่งพันรายที่เกิดขึ้นหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ รายงานว่า พบผลข้างเคียงดังกล่าวในเด็กชายอายุ 16-17 ปี ประมาณ 69 รายต่อจำนวนการฉีดวัคซีนเข็มที่สองหนึ่งล้านโดส และประมาณ 40 รายต่อจำนวนการฉีดวัคซีนเข็มที่สองหนึ่งล้านโดส ในเด็กผู้ชายอายุ 12-15 ปี
ในเดือนเดียวกัน พบรายงานเด็กอายุ 5-11 ปี มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบหลังได้รับวัคซีนจำนวน 8 ราย แต่ CDC ไม่ได้ยืนยันว่ามีความเชื่อมโยงกับวัคซีนหรือไม่
ทางด้าน มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงปริมาณวัคซีนป้องกันโควิด-19 กว่าร้อยล้านโดสที่ฉีดให้กับคนในสหรัฐฯ รายงานผลของอาการข้างเคียงถือว่ามีโอกาสเกิดขึ้นยาก อาการนี้พบบ่อยในวัยรุ่น และคนหนุ่มสาว และส่วนมากจะพบในเพศชาย อีกทั้งยังระบุว่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจและเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบที่พบหลังการฉีดวัคซีนในเกือบทุกกรณี มีอาการไม่รุนแรงและหายได้เร็ว
วิธีป้องกันเด็กเล็กที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
เด็กและเยาวชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว กระทรวงสาธารณสุขของประเทศแคนาดาแนะนำวิธีการป้องกันเด็กเล็กที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนว่า คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กควรจะฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้เรียบร้อย นอกจากนี้พ่อแม่และผู้ดูแลที่อยู่ใกล้ชิดเด็ก ควรจะประเมินความเสี่ยงของตนเอง และตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง เลือกทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำ อยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อต่ำ กักตัวเมื่อป่วย สวมหน้ากาก และล้างมือสม่ำเสมอ
CDC สหรัฐฯ แนะนำให้เด็กและเยาวชนอายุ 12 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนบูสเตอร์
ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาพร้อมการแพร่ระบาดอย่างหนักของสายพันธุ์โอไมครอน คำแนะนำอย่างเป็นทางการของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ ระบุว่า เด็กและเยาวชนอายุ 12-17 ปีควรได้รับวัคซีนเข็มที่สาม หรือเข็มกระตุ้น อย่างน้อย 5 เดือน หลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่สองแล้ว คำแนะนำนี้ลดลงจำนวนเดือนลงจากคำแนะนำเดิมที่ระบุว่า ควรฉีดเข็มที่สามห่างจากเข็มที่สองอย่างน้อย 6 เดือน CDC ของสหรัฐฯ แนะนำให้เด็กอายุ 12-17 ปี ฉีดเข็มกระตุ้นเฉพาะวัคซีนไฟเซอร์เท่านั้น ในขณะที่คนอายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถฉีดได้ทั้งวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา