วันที่ 2 มี.ค. ที่พรรคเพื่อไทย เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กับ Voice โดยมี ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล (คุณปลื้ม) พิธีกรข่าว Wake Up Thailand และ สุมหัวคิด เป็นผู้สัมภาษณ์ ซึ่งถือว่าเป็นการสัมภาษณ์ครั้งแรก หลังรับตำแหน่งสำคัญของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ
เมื่อถามเศรษฐาว่า หลังจากที่เข้ามารับหน้าที่นี้อย่างเป็นทางการ จะได้เห็น “เศรษฐา ทวีสิน” บนเวทีปราศรัย และสื่อสารนโยบายหรือไม่ เขายืนยันว่ามีแน่นอน และการนำเสนอนโยบายไม่จำเป็นต้องนำเสนอบนเวทีเพียงอย่างเดียว ยังมีอีกหลายมิติ ซึ่งคิดว่าตนนั้นจะมาช่วยเสริม
เมื่อถามว่า นโยบายเศรษฐากิจของพรรค มันก็มีนโยบายที่แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และทีมนโยบายของพรรคประกาศไปแล้ว แล้วทางเศรษฐา จะมีนโยบายชุดเป็นของตัวเองหรือไม่ อย่างไร เขาตอบว่า หากย้อนไปถึงสมัยไทยรักไทย นโยบายของเพื่อไทย เป็นนโยบายที่โดนใจและส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งทุกครั้งอยู่แล้ว อย่างเช่นนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ที่อยู่จนถึงปัจจุบัน เชื่อว่า เพื่อไทยมีบุคลากรที่หลากหลาย คิดนโยบายกันมาอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนตนนั้น ก็คงมาให้คำแนะนำ ตรงไหนที่อาจจะขาดอยู่บ้าง แต่ไม่มีนโยบายที่เป็นส่วนตัวเข้ามา มาให้ข้อคิดและความสมดุล เช่น เรื่องการทำประชานิยม เป็นเรื่องสำคัญ แต่วินัยการเงินการคลังก็สำคัญ ก็คงมาดูให้เหมาะสมกัน
เมื่อถามว่า หลังจากเข้ามาทำงานกับเพื่อไทย เราจะได้เห็นตัวตนของเศรษฐา ทวีสิน เหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ เขาตอบว่า ที่เข้ามาเพื่อไทย เราก็ต้องศึกษานโยบายของเขา และเราก็มีหลักคิดและปรัชญา ที่เหมือนกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องของความเหลื่อมล้ำ เสมอภาค เท่าเทียม เป็นเรื่องสำคัญ ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า เรื่องเศรษฐกิจ-ความเหลื่อมล้ำ เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไป ถือว่าเป็นจุดหมายที่สำคัญมาก เพราะจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ เมื่อวาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ก็ได้พูดมาแล้วว่า การจัดการบริหารประเทศ ไม่ใช่เรื่องง่าย มีองค์ประกอบเยอะ ทั้งกฎหมาย ระบบที่ช้า ก็เห็นถึงความอึดอัดและไม่สบายใจ ก็เข้าใจว่าหลายรัฐบาลที่ผ่านมาก็พยายามกันมาก
“การที่ผมเป็นนักธุรกิจ บริหารองค์กรขนาดใหญ่มา ผมเบื่อว่ามันมีวิธีการ ที่เราจะต้องแสดงความเป็นผู้นำ ทั้งการตัดสินใจ เอื้อเพื่อนฝูงพี่น้องร่วมรุ่น ต้องมีไม่มี และถ้าเราสามารถหลุดมาจากบริบทตรงนี้ได้ ผมเชื่อว่าจะทำให้หลักการคิดที่จะเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง มันจะทำให้เราตัดสินใจเรื่องต่างๆได้ง่ายขึ้น และทำให้เรามีประสิทธิภาพการทำงานที่มากยิ่งขึ้น ถ้าไม่เอาประชาชนเป็นตั้ง ผมว่าอย่ามาเล่นการเมืองเลยดีกว่า และพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ไทยรักไทย ก็เอาประชาชนเป็นที่ตั้งมาโดยตลอด”
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ เปิดประเด็น และพยายามจะถามว่า ประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ มันมากเพียงพอในการเข้ามาบริหารประเทศหรือไม่ เขาตอบว่า เป็นคำถามที่อาจจะดูเป็นการค่อนแคะ แต่ตนไม่ได้มองแบบนั้น ตนมองกลับไปว่าเป็นการให้ข้อคิดว่า การบริหารประเทศเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่มีเสาหลักอยู่หลายเสา ที่ต้องผลักดันกันไป แต่มันไม่ง่ายนัก
“ในอดีตผมไม่เคยบริหารจัดการประเทศ แต่องค์กรใหญ่ๆอย่างแสนสิริเนี่ย เราเองก็มีเสาหลักที่ดูแลกันอยู่ ทั้งผู้ถือหุ้น พนักงาน ลูกค้า และสังคม หน้าที่ของ CEO ก็ต้องบาล้านซ์เสาหลักเหล่านี้ โดยที่เอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง ซึ่งลูกค้าเปรียบเสมือนประชาชน เพราะเราก็ต้องดูแล เพราะเราขายของ ดังนั้น ปรัชญานี้ไม่ได้เปลี่ยน แต่ว่าการที่จะเคลื่อนไปสู่จุดมุ่งหมายมันไม่เหมือนกัน มันมีความยากของมัน ซึ่งท่านนายกฯก็กรุณาให้คำเตือนมาแล้ว”
เมื่อถามว่า ความยากในการบริหารประเทศในมุมของเศรษฐา คืออะไร ถ้าพรรคเพื่อได้เป็นรัฐบาล อะไรคือความท้าทาย เขาตอบว่า จุดเริ่มต้นคือนโยบาย พรรคเพื่อไทยใช้นโยบายนำมาโดยตลอด ถ้านโยบายเราโดนใจประชาชนจนแลนด์สไลด์ มาบริหารจัดการ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งระบบราชการ นักธุรกิจ ทุกคนพร้อมที่จะเป็นกลไกลสำคัญ ร่วมผลักดันให้นโยบายดีๆ เกิดขึ้น
เมื่อถามว่า แนวคิดทางการเมืองเขาสุดขั้วขนาดไหน ทั้งเรื่องการเกณฑ์ทหาร ปฏิรูปกองทัพ และการรัฐประหาร ทัศนะต่อเรื่องที่ยกตัวอย่างมานั้นเป็นอย่างไร เขาตอบว่า กับการรัฐประหาร ไม่เห็นด้วย 100% ไม่ถูกต้อง และรังเกียจด้วย ขอใช้คำนี้ดีกว่า แต่ถ้าถามถึงการปฏิรูปทหาร มองว่าการใช้คำพูดเริ่มต้นมาด้วยลักษณะที่เป็นการ “ชน” เราควรมาว่ากันด้วยเรื่องเนื้อความดีกว่า เช่น สถาบันทหาร น่าจะทำได้ดีขึ้นได้ หรือ เขามีพื้นที่เยอะ ไปเอาที่เขามาเลย เราควรม่านั่งวิเคราะห์ดูก่อนว่า พื้นที่ที่เขามีอยู่ มีเยอะขนาดไหน และไปเจรจาแบ่งให้ประชาชนใช้ในการทำพื้นที่ทางการเกษตรบ้าง หรือกรณีจะห้ามทหารมาเป็นกรรมการรัฐวิสหากิจเด็ดขาด ถ้าสมมติว่า เขาเป็นเจ้ากรมพลังงานทหารมา 7 ปี ความรู้ด้านพลังงานก็มี อยู่ดีๆเกษียณมาไม่ให้มาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจในด้านนี้เลย มันเป็นการด้อยค่าเขาหรือไม่ เราต้องแยกแยะ เรามานั่งดูและปรับให้เหมาะสมดีกว่า ย้ำอีกครั้ง รัฐประหารไม่เห็นด้วย รังเกียจ แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ดีแล้วต้องไล่ไปทั้งแผง
อย่างเรื่องการเกณฑ์ทหาร เราต้องให้เป็นการสมัครใจ สมัครเพราะการโฆษณา หรือการคำสัญญาที่เขาจะทำให้คุณเป็นสิ่งนั้น คุณจึงสมัคร เหมือนไปสมัครงานตามบริษัทเอกชนใหญ่ต่างๆ มันจะเป็นการแย่งบุคลากรที่มีคุณค่า ซึ่งถ้าสถาบันทหารบอกว่า เห้ย มาสมัครสิ จะได้นั่นนู่นนี่ คำพูดเป็นนายนะ ถ้าเกิดมีบางคนบอกว่า เป็นทหารเกณฑ์แล้วต้องไปทำนู่นทำนี่ ไม่เหมาะสม มันก็จะไม่เกิดขึ้น
“ผมคิดว่าเรื่องนี้ มันส่งผลต่อประเด็นสังคมในอีกหลายประเด็น ปีที่ผ่านมาประชากรลดลง คนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก คนย้ายออกนอกประเทศ และแต่ละคนที่ย้ายออกล้วนมีศักยภาพ และเมื่อเขามีศัยภาพ เขาจะไปอยู่ไหนก็ได้ เขาไม่อยากมีลูกเพราะอะไร เพราะเกิดมาอายุ 18-19 ต้องเกณฑ์ทหาร หรือว่าต้องถูกบังคับให้ไปเรียน รด. ก็ฉันไม่อยากเรียน อยากจะไปเรียนอาร์ต คือคนรุ่นใหม่ต้องมีอิสรภาพที่จะเลือก ถ้ามันไม่ผิดกฎหมาย ภายรัฐมีหน้าที่เพิ่มโอกาส สนทนา เปิดพื้นที่ ให้มีการคุยกัน เรื่องนี้สำคัญ ไม่ใช่ว่า พอเขาออกว่าอยากย้ายออกนอกประเทศ เขาไม่พอใจก็ไปขับไล่ไสส่ง ต้องพูดคุย แต่ถ้าพูดคุยแล้วสุดท้ายเขาต้องไป ก็ต้องไป”
เมื่อถามว่า หากแลนด์สไลด์ ได้จัดตั้งรัฐบาล สิ่งที่พูดมาทั้งหมด มันจะเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร เขาตอบว่า มันต้องเริ่มต้นคุย เสกไม่ได้แน่นอน อย่าคาดหวังว่าจะจบภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี แต่ว่า เรื่องของการที่ต้องพูดคุยกัน ผลักดันให้มันเกิดขึ้นอย่างมีนัย ตนเชื่อว่าคนที่เลือกเรามาก็จะดูเราอยู่ อย่าทำแบบฉาบฉวย สร้างภาพ ต้องทำต่อเนื่อง เจออุปสรรค ก็ผลักดันต่อไป ต้องทำให้เมืองไทยน่าอยู่สำหรับทุกคน สังคมเรามีหลายเจนเนอเรชั่น แต่ละคนรักชอบต่างกันไป เป้าหมายชีวิตของแต่ละคนก็แตกต่างกัน หน้าที่ของผู้นำประเทศ คือต้องหล่อหลอม ให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่ว่าไปกีดกันเจนในเจนหนึ่ง ทุกเสียงเท่ากันหมด
เมื่อถามคำถามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ถามเมื่อวานนี้ เศรษฐามีอะไรดี เก่งมาจากไหน เขากล่าวสั้นๆว่า “ผมตอบไม่ได้เลยจริงๆ คุณแม่ผมสอนไว้ ผมตอบไม่ได้เลย เศรษฐาเก่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมพูดไม่ออก มันออกมาจากคอไม่ได้อ่ะ ให้คนอื่นพูดแทนละกัน ในการเมืองผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก ก็คอยดูกันไป ผมถึงได้บอกว่า จริงๆแล้ว การที่ได้เข้ามาพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมืองหนึ่ง ที่ใช้นโยบายนำ และนโยบายเหล่า ก็โดนใจ stakeholder ของประเทศ ผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เข้ามาผลักดัน ผมเชื่อว่าผมมีความตั้งใจจริง มีความพยายามจริง และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่จะเจอ”