20 มี.ค. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 27 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 วันแรกของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 3.48 ล้านบาท วาระที่ 2-3 ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ในการพิจารณามาตรา 8 ว่าด้วยงบกระทรวงกลาโหม โดยมี สส. ก้าวไกล หลายคนอภิปรายแสดงความเห็น และขอตัดลบงบประมาณของกระทรวงกลาโหม
ในช่วงหนึ่ง เอกราช อุดมอำนวย สส.พรรคก้าวไกล อภิปรายหยิบยกเหตุผลการแปรญัตติปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม ว่ายังไม่มีความจำเป็น พร้อมยกโครงการ ใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีเทคโนโลยีสารสนเทศ ปรับปรุงจอ LED วงเงินเกือบ 7 ล้านบาท สำหรับงานพิธีต่างๆ โดยอ้างอิงถึงห้องที่จะมีการปรับปรุงว่ายังสามารถใช้งานได้ มองว่าการใช้งบประมาณควรมีเหตุผลจำเป็นที่เพียงพอ
รวมถึงโครงการด้านกระบวนการยุติธรรม ระบบการฝากขังในศาลทหาร 12 ล้านบาท ซึ่งเป็นระบบควบคุมการประชุมทางไกลทางวิดิทัศน์ ซึ่งหากดำเนินทั้งโครงการพบข้อมูลอาจใช้งบประมาณกว่า 24 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่นที่ใช้งบประมาณเพียงเกือบ 3 ล้านบาทเท่านั้น และโครงการจัดซื้อระบบลงนามอิเล็คทรอนิกส์ เกือบ 10 ล้านบาท
เอกราช อ้างถึงค่าใช้จ่ายผู้ช่วยทูตทหาร ที่มีสำนักงานทั่วทั่วโลก 26 แห่ง ที่งบประมาณปี 2567 ขอตั้งงบกว่า 43 ล้านบาท ซึ่งมีการใช้งบไปพลางก่อนระยะเวลาเพียง 6 เดือน ในวงเงินกว่า 20 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมาพบว่าใช้งบเทียบเท่างบทั้งปี ขณะที่การตั้งงบประมาณการใช้จ่ายปฏิบัติงานการจิตวิทยาและการปฎิบัติงานสื่อมวลชน เกือบ 10,000 ล้านบาท หรือ 9,700 ล้านบาท แต่การดำเนินโครงการดังกล่าวไม่มีตัวชี้วัดประสิทธิภาพ
“มีคนผูกคอในค่าย ท่านดูแลจิตวิทยา ดูแลความสัมพันธ์ของคนข้างในก่อน และผมไม่แน่ใจว่างบที่ใช้ เอาไปสร้างไอโอหรือเปล่า” เอกราช กล่าว
เอกราช ยังกล่าวถึงงบประมาณในโครงการแก้ไขปัญหาโรคเอดส์วงเงินเกือบ 5.9 ล้านบาท ศึกษาความชุกของการติดเชื้อเอชไอวีในชายไทยที่ผ่านการตรวจเลือดที่มีการใช้งบ 4 ล้านบาทสำหรับการตรวจเลือด
“ นี่คือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ นี่คือการบังคับ ทำไมผู้ที่อยู่ในค่ายจะต้องถูกบังคับตรวจเลือด ท่านจะอ้างความมั่นคงหรือ แล้วท่านทราบหรือไม่ว่า คนไทยมีสิทธิในการตรวจเอชไอวีอยู่แล้ว ประมาณ 2 ครั้งต่อปี แต่ต้องถูกบังคับแบบนี้ สุดท้ายแล้ว ถ้าตรวจพบก็จะถูกตีออก และเขาไม่สามารถออกหางานได้เพราะถูกเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ใครที่ยอมรับแบบนี้คือการละเมิดสิทธิภายใต้กฎหมาย” เอกราช กล่าว
ด้าน ร.ท.ธนเดช เพ็งสุข สส.กทม. พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายขอปรับลดงบประมาณของกองทัพลง 5% โดยระบุว่า งบของกระทรวงกลาโหมในปี 2567 ไม่ตอบโจทย์แนวคิดการพัฒนาร่วมกันของรัฐบาลเลย แต่เป็นงบที่ทำให้กำลังพลรู้สึกสิ้นหวังกับรัฐบาลที่หลีกเลี่ยงใช้คำว่าปฏิรูป นอกจากวิกฤติประเทศที่รัฐบาลยังแก้ไขไม่ได้ผ่านการจัดงบประมาณครั้งนี้ วิกฤตศรัทธาของกองทัพบก ท่านก็จัดการไม่ได้เช่นกัน ขณะที่การจัดงบประมาณของกองทัพบกไม่ได้สะท้อนวิกฤตประเทศอะไรเลย โดยปีนี้มีการขอซื้อเฮลิคอปเตอร์ Black Hawk จำนวน 3 ลำ เป็นงบผูกพันประจำปีงบประมาณ 2567 ถึง 2569 รวมเบ็ดเสร็จ 5,000 ล้านบาทโดยประมาณ
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูข้อมูลแล้ว พบว่ากองทัพบก ที่มีหน้าที่กำลังรบภาคพื้นดิน มีเฮลิคอปเตอร์ประจำการอยู่ถึง 150 ลำ ถือว่าวิกฤตหรือไม่ ขาดแคลนหรือไม่ ขนาดที่กองทัพอากาศ ที่มีหน้าที่ปกป้องน่านฟ้าของประเทศ มีเฮลิคอปเตอร์อยู่ทั้งสิ้น 34 ลำ ตกลงแล้วกองทัพบกจะทำงานทุกอย่างยกเว้นงานในหน้าที่ เฉกเช่นเดียวกับ กอ.รมน. หรือไม่
"คำที่เราพูดกันว่าจะลดขนาดกองทัพ แต่ท่านกำลังเสริมกองทัพให้โตยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกองทัพบก นี่คือวิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้นผ่านการจัดสรรงบประมาณ งบ 5 พันล้านบาทที่ผูกพัน ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้"
ร.ท.ธนเดช ระบุว่า กองทัพบกไม่ได้วิกฤต แต่ที่กำลังวิกฤตคือกองทัพเรือ ท่านกล้าหาญจะตัดลดงบประมาณจัดซื้อเรือฟริเกตของกองทัพเรือ แต่ท่านกลับหลับตา 1 ข้าง ปล่อยให้เฮลิคอปเตอร์ Black Hawk บินเข้าประเทศไทย เรือฟริเกตที่ซื่อมาปกป้องน่านน้ำกว่า 1,500 ไมล์ทะเลของประเทศ ท่านกลับตัดเขาทิ้งไป กองทัพเรือต้องไม่เป็นเหยื่อทางการเมืองอีกแล้ว
"ไม่มีเหล่าทัพไหนใหญ่เล็กกว่าใคร ทุกเหล่าทัพล้วนมีความจำเป็น และสำคัญในการปกป้องประเทศนี้ แต่การทำงบประมาณแบบนี้ ทำให้กำลังพลหลายคนในกองทัพรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และความรู้สึกคาดหวังว่ารัฐบาลพลเรือนนี้ จะกู้วิกฤตศรัทธา ก็ต้องพับกลับไปผ่านการจัดสรรงบประมาณแบบนี้" ร.ท.ธนเดช กล่าว