ไม่พบผลการค้นหา
ผู้เสียชีวิตทั่วโลกเกิน 1.5 แสน ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯเผยแผน 3 เฟสเตรียมเปิดเมืองอีกครั้ง แม้จำนวนติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯทะลุ 700,000 คนแล้ว

เว็บไซต์ worldometes รายงานยอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกว่า มียอดผู้เสียชีวิตสูงถึง 154,266 ราย เพิ่มขึ้นจากวานนี้ (17 เม.ย.) มากกว่า 8,745 ราย ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกแตะที่ตัวเลข 2,250,790 คน และมีผู้หายจากอาการป่วยรวม 571,149 คน 

ด้านสหรัฐอเมริกายังถือเป็นพื้นที่ระบาดหนักของโลกอยู่ โดยขณะนี้มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯแล้วอย่างน้อย 36,822 ราย โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในวันศุกร์ที่ 17 เม.ย. มากกว่า 29,131 คน ส่งผลให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมทั้งประเทศอยู่ที่อย่างน้อย 700,282 คน

โดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐฯ.jpg

แม้สถานการณ์ในสหรัฐฯจะยังคงน่าเป็นห่วง สำนักข่าว CNN รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯเผยแผนการดำเนินงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อเปิดประเทศให้ทุกภาคส่วนได้กลับมาดำเนินการตามปกติอีกครั้ง โดยทรัมป์ยืนยันว่าแผนการดังกล่าวไม่ใช่ข้อบังคับให้ทุกมลรัฐต้องปฏิบัติตาม แต่เป็นคำแนะนำเพื่อให้ผู้ว่าการรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นสามารถนำไปปรับใช้เพื่อนำไปสู่การกลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง

แผนการดังกล่าวแบ่งเป็น 3 เฟสใหญ่ๆคือ เฟสที่ 1 สำหรับมลรัฐที่ผ่านคุณสมบัติ เช่นการมีตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่องเกิน 14 วัน พนักงานบริษัทต่างๆสามารถทยอยกลับมาทำงานที่ออฟฟิศได้ แต่สำหรับตำแหน่งที่ทำงานจากบ้านได้ก็ควรทำเช่นนั้นต่อไป พื้นที่สาธารณะและฟิตเนสสามารถกลับมาเปิดได้เลย ยกเว้นโรงเรียนและบาร์ที่ควรปิดต่อไปก่อน ขณะที่กลุ่มเปราะบางอย่างเด็ก ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ และผู้สูงอายุ ยังคงจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเป็นหลัก

เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าจำนวนตัวเลขของผู้ติดเชื้อไม่กลับมาสูงขึ้นหลังการเข้าเฟสที่ 1 ทางการสามารถเริ่มมาตรการเปิดเมืองใน เฟสที่ 2 ได้ โดยการเปิดโรงเรียน และเริ่มอนุญาตให้ประชาชนสามารถเดินทางได้แม้ไม่ใช่เหตุสำคัญจำเป็น ส่วนบาร์สามารถเปิดให้บริการได้โดยต้องจำกัดจำนวนคนเข้าใช้บริการให้น้อยกว่าปกติ

เฟสที่ 3 สามารถเริ่มทำได้เมื่อแนวโน้มการติดเชื้อไม่เพิ่มขึ้น กิจกรรมเกือบทั้งหมดในเมืองสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ การเข้าเยี่ยมผู้สูงวัยในบ้านพักคนชราสามารถกลับมาทำได้ แต่ประชากรกลุ่มเปราะบางควรระมัดระวังตัวเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ และควรใช้ชีวิตตามหลักการสร้างระยะห่างทางสังคมต่อไป