วันที่ 26 เม.ย. ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทีมนโยบายการศึกษาพรรคก้าวไกล นำเสนอนโยบาย ภายใต้หัวข้อ 'รวมพลังก้าวไกล ล่าการศึกษาล้าหลังข้ามศตวรรษ' พร้อมสนทนาตอบคำถามจากนักเรียน นิสิต นักศึกษา
โดย กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล เสนอจุดยืนขจัดอำนาจนิยม หากพรรคก้าวไกลได้กระทรวงศึกษาธิการ จะเข้าไปจัดการกับระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของนักเรียน เช่น การตั้งระเบียบของโรงเรียน ให้ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปฏิรูประบบราชการเพื่อลดภาระของครูผู้สอน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในอำนาจของรัฐมนตรีทั้งสิ้น
รวมถึงปฏิรูปหลักสูตรการผลิตครูในประเทศไทย ที่ขาดการเรียนรู้ด้านจิตวิทยาเชิงบวก เพื่อลดทอนอำนาจนิยมในห้องเรียน เพิ่มความเข้าใจแก่นักเรียน น้ำเพิ่มการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตซึ่งเป็นปัญหาหลักของวัยรุ่น รวมถึงนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ ลดเวลาเรียน เสนอนโยบายคูปองเปิดโลก เพื่อให้นักเรียนสามารถมีงบประมาณไปศึกษาสิ่งที่ตนสนใจนอกห้องเรียน
ด้าน ครูจวง-ปารมี ไวจงเจริญ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ชี้ว่า ต้องกำจัดหลุมแห่งความเจ็บปวดด้านการศึกษา โดยเสนอนโยบายการศึกษาอย่างครบวงจร และเป็นพรรคแรก สะท้อนถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะรูโหว่ของข้อสอบ TCAS ที่เคยมีข้อผิดพลาดในข้อสอบ แต่ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ไม่เคยแสดงการยอมรับผิด และชี้แจงอย่างไม่สมเหตุสมผล ทั้งที่เป็นศูนย์รวมของบรรดาอธิการบดี แต่กลับไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง
อีกปัญหาคือข้อสอบ TCAS ไม่เคยเฉลยคำตอบให้เห็น ส่วนตัวยืนยันว่าต้องเฉลย และเผยแพร่ข้อสอบ เพื่อความโปร่งใสและวัฒนธรรมอันดี ถึงเวลาต้องทิ้งค่านิยมเก่าๆ ไป ไปจนถึงค่าสมัครสอบและค่าสอบ ซึ่งมีความซ้ำซ้อนและสร้างภาระทางการเงินให้ผู้สอบเกินควร ปิดกั้นนักเรียนที่ฐานะยากจน เรียกร้องให้เก็บราคาเดียวคือ ไม่เกิน 500 บาท
ขณะที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล มองว่า การศึกษาคือการเติมเต็มศักยภาพของคนที่ให้มี ความสามารถ พอจะวิ่งตามความฝันของแต่ละคนให้ประสบความสำเร็จได้ ถ้าคิดนโยบายการศึกษาที่อยู่ในกรอบของโรงเรียนเพียงอย่างเดียวถือเป็นความล้มเหลว ต้องเชื่อมโยงไปถึงสวัสดิการด้วย จึงนำเสนอเบี้ยเด็กเล็ก 1,200 บาท เพื่อให้นักเรียนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีอัตภาพ ด้วยแนวคิดว่า เด็กทุกคนคือลูกของสังคม รัฐบาลต้องไม่ผลักความยากจนไปให้ครอบครัว
วิโรจน์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากรัฐประหาร 2557 งบกลาโหมเพิ่มขึ้น แต่งบสนับสนุนด้านศึกษาน้อยลง โดยอ้างว่า เด็กเกิดน้อยลง ทว่างบรายหัวยังเท่าเดิม เช่น เครื่องแบบนักเรียน เวลานี้มีเด็กนอกการศึกษาถึง 1.3 ล้านคน ได้เรียน ต้องใช้งบปีละ 4,000 ล้านบาท ตนมองว่า เป็นโจทย์ที่ง่าย เพียงแค่จัดสรรจากงบซื้ออาวุธ เรือดำน้ำ เครื่องบินรบ มาส่งเสริมการศึกษาให้นักเรียน เป็นงบประมาณที่ไม่แพงในสายตาของพรรคก้าวไกล
ท้ายสุด ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอแนวคิด อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ผลักดันไทยหลุดจากประเทศกำลังพัฒนา แนวคิดจากงานวิจัยต่างๆ ในมหาวิทยาลัยเพื่อส่งไปต่อยอดเป็นนโยบายที่ทำประโยชน์ต่อสังคมได้ ซึ่งต้องสร้างตัวเหนี่ยวนำจากภายนอกรั้วมหาวิทยาลัยมาร่วมด้วย เช่น การลงทุนจากรัฐให้การวิจัยต่างๆ ที่ยังไม่มากพอ
ณัฐพงษ์ ชี้ว่า รัฐบาลต้องเป็นกุญแจสตาร์ตให้การพัฒนาต่างๆ เกิดขึ้นได้ เพราะตนเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมเพื่อเสริมพลังในหลายด้านของสังคมได้ เช่นภาครัฐสามารถให้สิทธิพิเศษแก่ธุรกิจไทยที่ผลิตเองในไทย แทนที่จะเป็นต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตและบริโภคกันในประเทศ แล้วเม็ดเงินจะหมุนเวียนเข้ามาสู่ระดับมหาวิทยาลัยกันเอง