วันที่ 1 มี.ค.66 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดนโยบายด้านการเมือง ชุดที่ 1 “ปฏิรูป กกต. และองค์กรอิสระทุกองค์กร” โดยระบุว่า ปัจจุบัน กฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เอื้อแต่พรรคการเมืองใหญ่ เห็นได้จากกรณีปล่อยปละละเลยให้หลายพรรคการเมืองเกณฑ์คนไปฟังปราศรัย แต่กกท. กลับไม่ดำเนินการใดๆ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ซึ่งรวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วย
ดังนั้น องค์กรอิสระเหล่านี้ทำไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะกกต.ที่มีการทุจริตอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้ ซึ่งอาจจะรวมถึงการเลือกตั้งในครั้งหน้าด้วย โดยเฉพาะในประเด็นของกฎหมายเลือกตั้งที่ห้ามคนต่างด้าวที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทยใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่กกต.ก็ยังนับคนต่างด้าวเข้ามารวมในคำนวณส.ส.แบบแบ่งเขตอีก ไม่รู้ว่าใช้สมองส่วนไหนคิด จึงจำเป็นต้องปฏิรูปกกต. และองค์กรอิสระโดยเร็ว
ด้าน สมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเสรีรวมไทย และอดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคการเมืองไม่กล้ากับ กกต. เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นศัตรูและถูกกลั่นแกล้ง เช่นเดียวกับ ป.ป.ช. ที่ ส.ส.หลายคนมีเรื่องทุจริตค้างอยู่ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญก็เกรงว่าจะหมิ่นศาล แต่พรรคเสรีรวมไทยไม่กลัว จึงขอประกาศนโยบายด้านการเมือง ชุดที่ 1 “ปฏิรูป กกต. และองค์กรอิสระทุกองค์กร” 4 ข้อ เพื่อไม่ให้ถูกเป็นเครื่องเมืองทางการเมือง ได้แก่
1.กกต. และองค์กรอิสระ ต้องมีที่มาที่เชื่อมโยงกับประชาชน ปัจจุบันการสรรหา กกต.หรือองค์กรอิสระประกอบด้วย ตัวแทนจากฝ่ายตุลาการและตัวแทนจากองค์อิสระอื่น ๆ จึงต้องเปลี่ยนกระบวนการสรรหา ที่จะต้องมีตัวแทนจากพรรคการเมืองเข้าไป คือ ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลอย่างละ 2 คน โดยให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้เสนอตัวแทนจากพรรครัฐบาล 1 คน และให้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เสนอตัวแทนจากพรรคฝ่ายค้าน 1 คน
2.การกำหนดคุณสมบัติต้องไม่เลื่อนลอย หรือเป็นมหาเทพ การให้บุคคลที่มีตำแหน่งระดับสูงมาดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ ทำให้ได้คนที่เกษียนอายุราชการ ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม มีผลประโยชน์แอบแฝง จึงลดเพดานคุณสมบัติ เปิดให้คนมีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในตำแหน่งเหล่านี้
3.ประชาชนสามารถต้องสามารถตรวจสอบ ถ่วงดุล และเสนอถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระได้
4.กระบวนการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่มีการเลือกตั้ง และเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ทันทีที่แก้ไขกฎหมายแล้วเสร็จ
นอกจากนี้ เสรีพิศุทธ์ ยังเปิดเผยว่า พรรคเสรีรวมไทย พร้อมสำหรับการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ โดยส่งผู้สมัคร ส.ส.ครบทุกเขต แต่ขณะนี้ยังไม่ลงตัว สำหรับประเด็นการจับมือข้ามขั้ว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ประกาศชัดว่าไม่เอาเผด็จการ ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่พรรคเดียวกัน แต่ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ การเอาใครไม่เอาใครนั้นอยู่ที่การเลือกตั้ง แต่ยืนยันว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นคนปฏิวัติ ไม่ใช่ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ตนเองมีความสัมพันธ์เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เหมือนความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล อาจจะเชิญพรรคเสรีรวมไทยไปร่วมกับรัฐบาลด้วย ถ้าพรรคเพื่อไทยเอาพรรคพลังประชารัฐ พรรคเสรีรวมไทยก็คงต้องเอาฟากนี้ไว้ก่อน เพราะไม่เช่นนั้นคงต้องไปอยู่ฝั่งพลเอกประยุทธ์ พร้อมย้ำว่าพรรคเสรีรวมไทยเป็นประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงกรณีการทาบทาม ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ร่วมงานกับพรรคเสรีรวมไทย ที่อาจสอดคล้องกับนโยบายปราบทุจริต พิชิตคนพาล อภิบาลคนดี คืนงบประมาณให้ประชาชน ของพรรคว่า
“สิ่งที่ ชูวิทย์ ทำเป็นไปตามความคิดความอ่านของเขา เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ห้ามไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่ลูกน้อง หรือคนในพรรคของตนเอง เชื่อว่าการออกมาแฉเรื่องต่าง ๆ ของ ชูวิทย์ ไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง เพราะเรื่องที่เปิดเผยก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แค่คำพูดคำจาเกินพวกเราไปหน่อย”