วันที่ 3 พฤศจิกายน บริษัทแมคโดนัลด์ คอร์ปอเรชันประกาศว่าได้ไล่สตีฟ อีสเตอร์บรูก ซีอีโอของบริษัทออกเนื่องจากมีความสัมพันธ์พนักงานของบริษัทคนหนึ่ง แม้จะเป็นความสัมพันธ์โดยสมยอมกันทั้งสองฝ่ายก็ตาม
คณะกรรมการบริษัท ลงมติกันเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน หลังพิจารณาและสรุปว่าอีสเตอร์บรูกได้ละเมิดนโยบายบริษัทที่ห้ามไม่ให้ผู้จัดการคบหากับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะขึ้นตรงต่อตัวเองหรือไม่
ในอีเมลถึงบรรดาพนักงานบริษัท ว่าความสัมพันธ์ของเขากับพนักงานนั้นเป็นความผิดพลาด
"จากค่านิยมขององค์กรแล้ว ผมเห็นด้วยกับบอร์ดบริหารว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องจากไป" เขาระบุ
ตำแหน่งซีอีโอถูกแทนที่โดยคริส เคมป์ซินสกี อดีตประธานแมคโดนัลด์ สหรัฐอเมริกา ทางด้านอีสเตอร์บรูก กล่าวว่าคริสเป็นพาร์ตเนอร์ที่สำคัญกับตัวเองตลอดช่วง 4 ปีที่รับตำแหน่ง และเป็นคนที่เหมาะสมจะรับช่วงซีอีโอต่อ
ทางแมคโดนัลด์ไม่เปิดเผยรายละเอียดอื่นใดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ซึ่งส่งผลให้อีสเตอร์บรูกถูกไล่ออกในครั้งนี้
อีสเตอร์บรูก เคยเป็นประธานผู้จัดการฝ่ายแบรนด์ของแมคโดนัลด์ และเคยเป็นประธานแมคโดนัลด์ในสหราชอาณาจักรและยุโรปเหนือมาก่อน ก่อนที่จะเข้าสู่ตำแหน่งซีอีโอของแมคโดนัลด์คอร์ปอเรชันในเดือนมีนาคม ปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงที่แมคโดนัลด์กำลังเผชิญปัญหาในการรักษาฐานลูกค้าไว้ หลังจากเครือแฟรนไชส์ระดับโลกประกาศว่ายอดขายในสหรัฐฯ ลดลง พร้อมกับที่กำไรทั่วโลกลดลง 33 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรก อีเตอร์บรูกเข้ามาด้วยสัญยาว่าจะตอบสนองต่อความต้องการ ความคาดหวังของผู้บริโภคในปัจจุบันให้ดีขึ้น
ในช่วงที่เขาบริหารนั้นหุ้นของแมคโดนัลด์สูงขึ้นถึงเท่าตัว โดยมีผลงานที่โดดเด่นเช่นการผลักดันให้เกิดการสั่งซื้อผ่านแอปฯ ในสมาร์ตโฟน ชำระเงินออนไลน์ เปิดขายเมนูอาหารตลอดวัน ตัดสินค้าที่ขายไม่ดีออก และสร้างเมนูใหม่ที่ราคาถูกลงมา
คาร์ล โทไบแอส ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยริชมอนด์ สหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นกับเรื่องนี้ว่าการตัดสินใจของแมคโดนัลด์ อาจเป็นสัญญาณความก้าวหน้าของปัญหาในที่ทำงาน ซึ่งได้รับความสนใจมากขึ้นท่ามกลางกระแสมีทู (#MeToo กระแสเรียกร้องให้ยุติการใช้อำนาจล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน) ขณะที่บริษัทอื่นๆ อาจไม่ได้ตอบโต้กับเหตุลักษณะนี้ด้วยการบังคับใช้นโยบายอย่างเข้มงวดแบบนี้เสมอไป
ที่มา: Bloomberg / McDonald's / TheAge / CNBC
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: