แม้การเลือกตั้งสหรัฐฯ จะเสร็จสิ้นหลังจากที่ โจ ไบเดน ได้รับชัยชนะกวาดคะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 279 เสียง มีชัยชนะเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป แต่ดูเหมือนสถานการณ์การเมืองในวอชิงตัน ดี.ซี. ยังคงอึมครึม โดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานอ้างแหล่งข่าวภายเป็นเจ้าหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ว่า คณะทำงานของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกีดดันไบเดนจากการเข้าถึงข้อความแสดงความของบรรดาผู้นำโลกหลายชาติที่ส่งผ่านมายังกระทรวงต่างประเทศให้กับว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่
ซีเอ็นเอ็น อ้างแหล่งข่าวระบุว่า ตามธรรมเนียมแล้ว การส่งข้อความระหว่างผู้นำต่างประเทศจะต้องส่งผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เช่นเดียวกับในครั้งนี้ที่ผู้นำต่างชาติ ส่งสาส์นแสดงความยินดีให้กับ 'ว่าที่ประธานาธิบดี' ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่คณะทำงานของทรัมป์พยายามกีดกันไม่ให้ทีมงานของไบเดน เข้าถึงข้อความดังกล่าวทีส่งผ่านมายังกระทรวงต่างประเทศ เป็นเหตุให้ไบเดนไม่ได้รับหลายสิบข้อความ
ก่อนหน้านี้ ไมก์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มีท่าทีไม่ยอมรับชัยชนะของไบเดน โดยเขากล่าวในการแถลงข่าวที่สร้างเสียงวิจารณ์วงกว้างว่า "การเปลี่ยนผ่านของคณะบริหารทรัมป์สมัยที่ 2 จะเป็นไปอย่างราบรื่น เราจะนับทุกคะแนนเสียง เพื่อให้ทั่วโลกมีความมั่นใจว่า การเปลี่ยนผ่านคณะบริหารทำเนียบขาวจะประสบความสำเร็จเมื่อประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค."
อย่างไรก็ดี ทีมงานของ ไบเดน สามารถติดต่อรัฐบาลต่างชาติได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลทรัมป์ ผ่านการโทรศัพท์ ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ไบเดน ได้ทำการหารือแลกเปลี่ยนกับผู้นำชาติพันธมิตรสำคัญหลายคนทั้ง แองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี , จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา รวมถึง บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้ยกหูหารือทางโทรศัพท์ กับประธานาธิบดี มุนแจอิน ผู้เกาหลีใต้ โดยทั้งสองได้พูดคุยกันเป็นเวลานานราว 14 นาที ในประเด็นด้านความมั่นคงของเกาหลีใต้ และสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี โดยไบเดนให้คำมั่นกับผู้นำเกาหลีใต้ว่า จะพบปะหารือแบบทวิภาคีให้เร็วที่สุดหลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตน เช่นเดียวกับ นายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซุกะ ของญี่ปุ่น พูดคุยทางโทรศัพท์กับ โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ แสดงจุดยืนถ่วงดุลอำนาจของจีนในภูมิภาค การปลดนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ รวมถึงการแนวควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ที่มา : CNN