การลงนามในกฤษฎีกาของปูตินในการขยายกองกำลังของรัสเซีย อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความสูญเสียของกองทัพรัสเซียในสมรภูมิยูเครนที่รุนแรง อีกทั้งความล้มเหลวในการเข้ายึดกรุงเคียฟ และล้มรัฐบาลของ โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เมื่อช่วงเดือน ก.พ. ถึง มี.ค.ที่ผ่านมา
กฤษฎีกาขยายขนาดกองทัพจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.ที่จะถึง ซึ่งจะมีการเพิ่มจำนวนกำลังพลทหารในการรบ 137,000 นาย รวมเป็น 1.15 ล้านนาย นับเป็นการเพิ่มกำลังพลครั้งใหญ่ของรัสเซีย นับตั้งแต่การเพิ่มกำลังพลครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2560 ด้วยอัตรากำลังทหาร 13,698 นาย และอัตราเจ้าพนักงานที่ไม่ใช่ทหารอีก 5,357 นาย
รัสเซียไม่เคยเปิดเผยในทางสาธารณะว่าตนสูญเสียทหารจำนวนมากน้อยเพียงใดในสงครามยูเครน แต่เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรออกมาระบุว่า รัสเซียสูญเสียทหารภาคพื้นของตนเองไปกว่าหนึ่งในสามของที่ตนมีอยู่ นับตั้งแต่เกิดสงคราม นอกจากนี้ วิลเลียม เบิร์นส์ ผู้อำนวยการซีไอเอของสหรัฐฯ ออกมาระบุเมื่อเดือนก่อนว่า รัสเซียอาจสูญเสียทหารของตนในยูเครนไปประมาณ 15,000 นาย “และอาจบาดเจ็บมากกว่านั้นประมาณสามเท่าตัว”
รัสเซียที่เลี่ยงการประกาศการระดมพลเมื่อไม่นานมากนี้ มีความพยายามในการเพิ่มการเกณฑ์ทหารใหม่ โดยผู้เชี่ยวชาญเรียกความพยายามดังกล่าวของรัสเซียว่าเป็น “การระดมพลอย่างลับๆ” ทั้งนี้ ภูมิภาคต่างๆ ของรัสเซียมีการจัดตั้งกองพันอาสาสมัคร ด้วยการเซ็นสัญญาระยะสั้นแบบมีผลตอบแทน ให้แก่ชายวัย 18-60 ปี นอกจากนี้ กลุ่มทหารรับจ้าง Wagner ของรัสเซียเองกำลังเผชิญหน้ากับการขาดแคลนกำลังพลด้วยเช่นกัน
การเพิ่มกำลังพลในครั้งนี้ของรัสเซีย เกิดหลังจากที่นักการทูตระดับสูงของรัสเซียให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Financial Times ว่า รัสเซียเองไม่เห็นหนทางใดที่เป็นไปได้ในการหาทางออกผ่านการทูต เพื่อยุติสงครามยูเครน อีกทั้งยังคาดว่าสงครามอาจจะกินเวลาไปอีกยาวนาน
ในขณะที่เซเลนสกีเองก็ออกมาระบุว่า ยูเครนเคยต้องการสันติภาพ แต่ในตอนนี้ยูเครนต้องการชัยชนะ พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดียูเครนยังได้ยืนยันว่า กองทัพของตนเองจะเดินหน้าในการยึดคืนพื้นที่ทางตะวันออกของตน รวมถึงการยึดไครเมียที่ถูกรัสเซียยึดและผนวกเข้าเป็นของตนไปตั้งแต่ปี 2557 ด้วย
ที่มา: