นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบความคืบหน้าการดำเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและให้ความเห็นชอบการดำเนินการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 (มาตรการฯ ระยะที่ 2) และ การเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอกนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
สำหรับความคืบหน้าของมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น ปัจจุบันผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าร่วมมาตรการฯ จำนวน 4,145,397 ราย (จากจำนวนผู้มีบัตรฯ ประมาณ 11.4 ล้านราย) ซึ่งได้รับการพัฒนาแล้วจำนวน 3,267,941 ราย และจากผลการติดตามความคืบหน้าการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ข้อมูล ณ สิ้นปี 2561 สามารถติดตามได้ จำนวน 2,607,195 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 80 ของผู้ที่พัฒนาแล้ว โดยพบว่า
ขยายเวลามาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อไปอีก 6 เดือน สิ้นสุด มิ.ย. 2562
โดยจากผลสำเร็จของการดำเนินมาตรการฯ มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหลุดพ้นจากเส้นความยากจน (Poverty Line) หรือมีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปี และหลุดพ้นจากความยากจน หรือมีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อปี ดังนั้น เพื่อให้การสนับสนุนและส่งเสริมโอกาสในการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และก่อให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพและการมีรายได้ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
กระทรวงการคลังจึงเสนอขยายเวลาการดำเนินมาตรการฯ ต่อไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2562 โดยยังคงหลักการและโครงสร้างการดำเนินการเช่นเดียวกับ การดำเนินมาตรการฯ ที่ผ่านมา และเพื่อให้ผู้เข้าร่วมมาตรการฯ จำนวน 4,145,397 ราย มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ให้ได้รับการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ในปี 2559 จะได้รับเงินจำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทต่อปี ในปี 2559 จะได้รับเงินจำนวน 100 บาทต่อคนต่อเดือน ต่อไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2562)
ส่วนกลุ่มเป้าหมายและการพัฒนา แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
แจงโปรฯ บัตรคนจน กดเงินสดได้ 3 เดือน
สำหรับการเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถนำเงินไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ ช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ
กระทรวงการคลังจึงปรับเปลี่ยนการเติมเงินรายเดือนวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด (วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นฯ) โดยแบ่งเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐส่วนหนึ่ง เฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2562 (3 เดือน) โดยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถถอนเงินสดผ่านตู้ ATM และสาขาของธนาคารกรุงไทยได้
ทั้งนี้ การแบ่งเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นการช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เนื่องจากจะไม่มีการตัดวงเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายในแต่ละเดือนในกรณีที่ใช้เงินไม่หมด ซึ่งต่างจากวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นฯ ดังนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อร้านธงฟ้าประชารัฐ หากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้เงินจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สะสมไว้ไปชำระค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นฯ จากร้านธงฟ้าประชารัฐ
อีกทั้งผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐยังคงได้รับเงินชดเชยเป็นจำนวนเท่ากับจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ชำระจากค่าซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นฯ ที่ร้านธงฟ้าประชารัฐที่เข้าร่วมรายการ โดยจะคืนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในเดือนถัดไป ภายในกรอบไม่เกินรายละ 500 บาทต่อคนต่อเดือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :