ไม่พบผลการค้นหา
ครม.เห็นชอบตามกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอลงทุน 'โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม' หรือ 'Smart Park' ในพื้นที่ จ.ระยอง 1,383 ไร่ ต่อยอดเมืองอีอีซีมูลค่าการลงทุน 2,370 ล้านบาท หนุนอุตสาหกรรม S-Curve 'หุ่นยนต์-การบิน-โลจิสติกส์-การแพทย์-ดิจิทัล' คาดคืนทุนภายใน 14 ปี

รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2563 ว่า ครม.เห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง พื้นที่รวม 1,383 ไร่ มูลค่าประมาณ 2,370 ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลสำหรับการลงทุนในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park ตั้งอยู่ใน ต.ห้วยโป่ง อ.เมือง จ.ระยอง มีระยะทางห่างจากท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด 7 กิโลเมตร สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา 17 กิโลเมตร ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ 29 กิโลเมตร ท่าเรือแหลมฉบัง 53 กิโลเมตร และสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ 150 กิโลเมตร เนื้อที่โครงการทั้งหมด 1,383 ไร่ 

2.แบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น ออกเป็น 4 ส่วนได้แก่

  • พื้นที่อุตสาหกรรม จำนวน 621.55 ไร่ 
  • พื้นที่พาณิชยกรรม จำนวน 150.54 ไร่
  • พื้นที่สาธารณูปโภค เช่น พื้นที่จอดรถส่วนกลาง ระบบผลิตน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย สถานีไฟฟ้าย่อย และถนน จำนวน 373.35 ไร่
  • พื้นที่สีเขียวและแนวกันชน จำนวน 238.32 ไร่ 

3.เป้าหมายของโครงการจะมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล และกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ 

4.ผลการวิเคราะห์ความเหมาะสมทางการเงินและเศรษฐกิจของโครงการระยะเวลา 30 ปี มีความคุ้มทุนในทางการเงินและมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 585.74 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนของโครงการ (IRR) ร้อยละ 8.91 ซึ่งมากกว่าต้นทุนถัวเฉลี่ย ถ่วงน้ำหนักของเงินทุน (WACC) ของ กนอ. (ร้อยละ 7.25) และมีระยะเวลาคืนทุน 14 ปี

สำหรับโครงการนี้จะใช้เวลาก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ประมาณ 3 ปี และจะจัดทำแผนการตลาดเพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการและนักลงทุน โดยคาดว่าพื้นที่จะถูกเช่าหมดภายใน 4 ปี หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จ และเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะเกิดการจ้างงานประมาณ 7,459 คน มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจพื้นที่ประมาณ 1,342 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องยึดหลักการดูแลสิ่งแวดล้อมและหลักสิทธิมนุษยชน ทุกส่วนราชการจะต้องเข้มงวดในเรื่องการติดตามและประเมินผล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: