วันที่ 2 พ.ย. ในการประชุมคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธานกรรมาธิการ มีการพิจารณางบประมาณในการศึกษาดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ ของ ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 โดยมี นายปดิพัทธ์ พร้อมด้วย ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เข้าชี้แจง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ณัฐพงษ์ เป็นหนึ่งในคณะเดินทางไปดูงานที่สิงคโปร์ด้วย จึงไม่ได้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมวาระดังกล่าว และให้ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ เป็นประธานในการประชุมแทนปดิพัทธ์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการดูงานครั้งนี้เพื่อฟื้นฟูด้านการทูตของรัฐสภา และได้ศึกษาวิธีการใช้เทคโนโลยีในระบบรัฐสภาของสิงคโปร์มาปรับใช้กับรัฐสภาไทย รวมถึงส่งเสริมการมีบทบาทของผู้หญิงในรัฐสภา เนื่องจากรัฐสภาสิงคโปร์มีสัดส่วนของ สส. หญิงถึง 30% ทำให้การพิจารณางบประมาณมีมิติมากขึ้น ขณะที่รัฐสภาไทยมีสัดส่วนผู้หญิงเพียง 19%
ทั้งนี้ ปดิพัทธ์ ยังได้เสนอรูปแบบการรวบรวมข้อมูล (Data Collection) ผ่านทางเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามรายละเอียดข้อมูล แฟ้มผลงาน และกิจกรรมของ สส.ได้ รวมถึงการปรับใช้รูปแบบตัวเลขจากเลขไทยเป็นเลขอารบิคในการยกร่างกฎหมายต่างๆ เพื่อให้สะดวกต่อการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะการคำนวณงบประมาณและชวเลขได้ง่ายขึ้น
ปดิพัทธ์ ยังเผยแนวคิดนำร่องการปรับเพิ่มอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในอาคารรัฐสภา และเชิญชวนเจ้าหน้าที่รัฐสภา สมาชิกรัฐสภา ให้ไม่ต้องแต่งกายด้วยชุดสูทในทุกวันศุกร์ เพื่อประหยัดพลังงานและสอดคล้องกับนโยบายรัฐสภาสีเขียว เพราะรัฐสภาสิงคโปร์ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา แต่จะเปิดเฉพาะห้องที่มีการใช้งานเท่านั้น กลับกันกับรัฐสภาไทยที่เปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา
ปดิพัทธ์ ฝากถึงสำนักงบประมาณว่า ในการจองตั๋วเครื่องบินนั้น ยังไม่มีความชัดเจนในการซื้อบัตรโดยสาร เพราะกฎหมายระบุประธานสภา หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร จะได้รับสิทธิการจองที่นั่งชั้นสูงสุด และต้องใช้สายการบินประจำชาติ เพื่อสามารถปรับเปลี่ยนเวลาการเดินทางได้ เพราะหากใช้สายการบินโลว์คอสแอร์ไลน์ หรือสายการบินประเทศอื่น จะทำให้การติดต่อเปลี่ยนแปลงลำบาก จึงแนะนำว่า หากเป็นการบินในระยะสั้น ควรใช้สายการบินโลว์คอสแอร์ไลน์
ปดิพัทธ์ ชี้แจงด้วยว่า ได้ใช้งบประมาณไปดูงานที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ทั้งหมดประมาณ 903,000 บาท และเตรียมที่จะเดินทางไปศึกษาดูงานต่อที่ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนประเด็นที่มีผู้ซักถามว่า ตนเองใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกคณะทำงานที่เดินทางไปด้วย เกณฑ์แรกคือเลือกจากคณะทำงานรัฐสภาโปร่งใสและประสิทธิภาพสูง ที่มี ณัฐพงษ์ อยู่ในคณะทำงาน ประกอบกับได้มีการเดินทางพบปะกับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี ทำให้จำเป็นต้องพา ณัฐพงษ์ รวมถึง ไกลก้อง ไวทยากร ที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานรัฐสภาโปร่งใส
หลักที่สองคือเลือกตัวแทนจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล แต่ในช่วงเวลาที่เตรียมเดินทางไปดูงาน การจัดตั้งรัฐบาลยังไม่แล้วเสร็จ จึงได้ติดต่อจากทั้ง 2 พรรคใหญ่ ที่น่าจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน คือพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ซึ่งมีตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยที่จำเป็นต้องเดินทางกลับก่อนกำหนดเพื่อมาประชุมวิปรัฐบาล ไม่ได้เดินทางกลับมาก่อนเนื่องจากเกรงว่าการดูงานครั้งนี้ไม่โปร่งใสแต่อย่างใด
ด้านพรรคฝ่ายค้านที่เดินทางไปด้วยนั้น ก็เป็นผู้ที่ลงชื่อไว้ว่าจะทำงานในคณะกรรมาธิการกิจการสภา ไม่ได้เป็นการเชิญด้วยสายสัมพันธ์ หรือแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทั้งนี้ ได้มีการเชิญตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทยด้วย แต่พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ส่งตัวแทนมา
ปดิพัทธ์ ยังระบุถึงข้อซักถามว่าในการเยือนต่างประเทศนั้น จำเป็นต้องรอการเทียบเชิญหรือไม่ ซึ่งเป็นเรี่องที่ตนเองกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่ เนื่องจากการทูตรัฐสภาที่ผ่านมาเป็นการต่างตอบแทน โดยไม่มีวาระของการพัฒนาร่วมกัน จึงควรสร้างความสัมพันธ์และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภานานาชาติ
รวมถึงปีนี้หรือปีหน้า หากกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านการพิจารณาของรัฐสภา จะมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ และมีการเยือนเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องนี้กับประเทศที่มีนโยบายเดียวกันในการส่งเสริมการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน ซึ่งคาดว่าประเทศแรกที่ไปจะเป็นประเทศฟิลิปปินส์