สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้(สกต.) จับมือองค์กรโพรเทคชั่นอินเตอร์เนชั่นแนล จัดเวทีสาธารณะ ปัญหา นส.3 ทับเขตป่า จับตาคดีต้นแบบ เพิกถอนโฉนดที่ดินเอกชนที่ได้มาไม่ถูกต้อง สู่แนวทางการจัดการที่ดินแบบกรรมสิทธิ์ร่วมโฉนดชุมชน วอนกรมที่ดินไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองพรุ่งนี้ ด้านนักวิชาการเผย ปัญหาที่ดินทำสังคมไทยเหลื่อมล้ำสุดขีด พบคนเดียวถือครองที่ดินถึง 6.3 แสนไร่ ขณะที่คนจำนวนมากกลับไร้ที่ทำกิน ย้ำ ที่ดินของรัฐ เป็นช่องให้จนท.ขูดรีดประชาชน แนะเร่งปฏิรูปที่ดิน เก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ตั้งธนาคารที่ดิน ด้านทนายความเจ้าของคดี สกต.ชวนจับตาการอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองในวันที่ 19 นี้ระบุ ชาวบ้านต่อสู้เพื่อให้รัฐได้ที่ดินกลับคืนมาเป็นของแผ่นดิน ควรจัดสรรให้เกษตรกรและคนไร้ที่ดินทำกินได้ใช้ประโยชน์มากกว่าปล่อยให้นายทุน ระบุหากกรมที่ดินไม่อุธรณ์คดีหากพ้น 120 วันแล้วชาวบ้านสามารถยื่นเรื่องเพิกถอนเองตามคำสั่งศาลได้ส่วนกมธ.ที่ดินฯ ขู่ หากคำพิพากษาของศาลให้กรมที่ดินเพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่เอกชนได้มาไม่ชอบ แต่ยังนิ่งเฉย เจอส่งป.ป.ช.แน่
ที่สำนักงานนักเรียนคริสเตียน สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ร่วมกับองค์กรโพรเทคชั่นอินเตอร์เนชั่นแนล (PI) จัดเวทีสาธารณะเปิดประเด็น “ นส.3 ทับเขตป่า จับตาคดีต้นแบบศาลปกครองเตรียมอ่านคำพิพากษา เพิกถอนโฉนดที่ดินที่ได้มาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายของเอกชน สู่แนวทางการจัดการที่ดินแบบกรรมสิทธิ์ร่วมโฉนดชุมชน สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้” โดยมี สุรพล สงฆ์รักษ์ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินจากสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ศิริวรรณ ว่องเกียรติไพศาล ทนายความในคดีที่ชุมชนสันติพัฒนายื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ออกโดยมิชอบ สมชาย ฝั่งชลจิตร รองประธานคณะกรรมาธิการการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร วิทยา อาภรณ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และปรานม สมวงศ์ จากโพรเทคชั่นอินเตอร์เนชั่นแนล เข้าร่วมเป็นวิทยากรในการเสวนา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
วิทยา อาภรณ์ นักวิชาการ ม.วลัยลักษณ์ กล่าวถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินในประเทศไทยว่า สถิติจากกรมที่ดินเคยสำรวจไว้ พบว่า ประเทศไทยมีที่ดินรวม 320 ล้านไร่ ในจำนวนนี้เป็นพื้นที่ที่ออกเป็นเอกสารสิทธิ์ได้ 120 ล้านไร่ อีก 200 ล้านไร่ เป็นที่ดินที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ เช่น พื้นที่ชัน พื้นที่ป่าเขา หรือพื้นที่ทางทะเล อย่างไรก็ตามเมื่อไปดูตัวเลขในส่วนพื้นที่ที่ออกเอกสารสิทธิ์พบว่าในจำนวน 120 ล้านไร่ สัดส่วน 80 เปอร์เซ็นต์ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มเล็กๆ ที่ถือครองที่ดินรายใหญ่อยู่ประมาณ 3 ล้านคน และยังมีข้อมูลอีกว่า มีคนเพียง 1 คน ถือครองที่ดินมากถึง 6.3 แสนไร่ แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน
“ที่ดินเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดที่จะนำมาเป็นฐานของทุนนิยม เป็นต้นทุนการผลิต คนที่มีที่ดินเพื่อการยังชีพจะถูกกดไว้ หรือ บีบบังคับไปสู่การถือครองกรรมสิทธิ์ที่สามารถแลกเปลี่ยนในตลาดได้ สุดท้ายแล้วกรรมสิทธิ์ที่ดินของแต่ละกลุ่มจะถูกดูดไปเป็นกรรมสิทธิ์ของคนกลุ่มเดียว คนที่มีทุนมาก ส่วนคนที่ใช้ชีวิตแบบยังชีพมีวิถีแบบในป่า ไม่มีเอกสารสิทธิ และยังเป็นพื้นที่ที่รัฐประกาศทับอยู่” วิทยา ระบุ
วิทยา กล่าวว่า ปัญหาการกระจุกตัวของที่ดินของนายทุนนั้น ทำให้ที่ดินถูกทิ้งร้าง ที่ดินที่มีอยู่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่ เพราะเป็นการถือครองเพื่อเก็งกำไร ซึ่งที่ดินไม่เหมือนทรัพย์สินอื่น เช่น เพชรนิลจินดาที่ไม่ว่าจะไปกองกับใครก็จะไม่ส่งผลกระทบกับคนอื่น แต่ที่ดินนี้ถ้าไปกระจุกตัวกับคนใดคนหนึ่ง จะมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นการกระจายที่ดินเป็นเงื่อนไขสำคัญของการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้รัฐต้องใช้ความจริงใจในนโยบายเกี่ยวกับที่ดินที่อยู่ในมือของหน่วยงานรัฐ ไม่ว่าจะเป็น สปก. ที่ดินอุทยานฯ ป่าสงวน กรมธนารักษ์ ซึ่งที่ดินเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่สุจริต ไปขูดรีดชาวบ้านได้
“ปัญหาที่ดิน มาจากปัญหาของเรื่องการเมือง เป็นเรื่องของการกระจายอำนาจออกไปสู่กลุ่มคน ท้องถิ่น ที่ยังกระจุกไว้ที่ส่วนกลาง สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหา คือ ต้องใช้กลไกการปฏิรูปที่ดิน ใช้ระบบภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า ใครมีที่ดินเยอะเสียภาษีเยอะ นอกจากนี้ยังมีระบบกรรมสิทธิของชุมชน โฉนดชุมชน ขณะเดียวกันเมื่อมีภาษีเพิ่มขึ้นอาจจะมีนายทุน ปล่อยที่ดินออกมา และถูกนายทุนอื่นช้อนซื้อได้ ดังนั้นจึงมีแนวทางธนาคารที่ดิน โดยธนาคารจะซื้อไว้เพื่อนำมาให้ประชาชนที่ไม่มีอำนาจต่อรอง และต้องมีกองทุนยุติธรรม ให้ประชาชนเข้าถึงเงินประกันตัวในการต่อสู้คดีที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งการปฏิรูปที่ดิน คือการจำกัดการถือครองที่ดิน ที่ผ่านมาในพ.ร.บ.ที่ดิน เคยมีการกำหนดการถือครองที่ดิน แต่ถูกประกาศคณะปฏิวัติปี 2502 ประกาศยกเลิก ถ้ายกเลิกประกาศคณะปฏิวัตินั้นได้ก็สามารถที่จะจำกัดการถือครองที่ดินได้”นักวิชาการ ม.วลัยลักษณ์ระบุ
สุรพล สงฆ์รักษ์ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านที่ดิน และกรรมการบริหาร สกต. กล่าวว่า สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้(สกต.) เป็นการรวมกลุ่มกันของเกษตรกรและแรงงานไร้ที่ดินจำนวนทั้งสิ้น 5 ชุมชน ในการเข้ามาตรวจสอบที่ดินของรัฐที่หมดสัมปทาน หรือการอนุญาตให้บริษัทเอกชนทำประโยชน์ในที่ดิน ซึ่งในการลงตรวจสอบของ สกต. พบว่าในบางพื้นที่ที่เป็นของรัฐมีบริษัทเอกชนที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้นๆ แต่กลับบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายมาเกือบ 40 ปี ในทางกลับกันชุมชนสันติพัฒนาซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนสมาชิกของ สกต. ที่ต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน สิทธิในที่อยู่อาศัย และการบริหารจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน หรือสิทธิร่วมของชุมชน มาตั้งแต่ปี 2550 ต้องต่อสู้เผชิญหน้ากับบริษัทเอกชนซึ่งทำธุรกิจปาล์มน้ำมันที่เข้ามาบุกรุกในที่ดินในเขตของ ส.ป.ก. และพื้นที่ป่าไม้ถาวรของ กรมป่าไม้ จนไม่เหลือสภาพป่าเชิงประจักษ์ เพราะบริษัทได้ทำลายหมดไปนานแล้ว ยกเว้นพื้นที่ป่าชุมชนประมาณ 100 ไร่ ที่สมาชิกชุมชนสันติพัฒนาได้ร่วมกับปลูกขึ้นมาใหม่ในระยะ13-14 ปีที่ผ่านมา
ที่ผ่านมา สกต. มีการเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาตรวจสอบการใช้ที่ดินจนกรมสอบสวนคดีพิเศษ [ DSI ] และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงมาตรวจสอบในพื้นที่และพบว่า กรมที่ดินได้ออกเอกสารสทธิ์ น.ส.3 ก รับรองการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้กับบริษัทโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเรียกร้องให้กรมที่ดินต้องเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าวทั้งหมด 310 ไร่ แต่กรมที่ดินปล่อยปละละเลย ไม่ได้ดำเนินการเพื่อเพิกถอนเอกสารที่ออกโดยมิชอบ จนกลายมาเป็นใบอนุญาตที่ให้บริษัทเอกชนฟ้องร้องสมาชิกชุมชนสันติพัฒนาในข้อหาบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ ทำให้นักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินหลายสิบรายต้องถูกดำเนินคดี และถูกเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนหลายล้านบาท รวมถึงถูกสั่งให้ขับไล่ออกจากที่ดินดังกล่าวด้วย ในกรณีของชุมชนสันติพัฒนา บริษัทเอกชนที่มีข้อพิพาทคือบริษัทสหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกฟ้องในคดีศาลปกครองด้วย
“แม้จะถูกเล่นงานจากกระบวนการยุติธรรม และการร่วมมือกันระหว่างรัฐและทุน ล่าสุด ศาลปกครองได้มีการแถลงคดีโดยตุลาการ ได้อ่านแนวทางของคดี สั่งให้กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนเอกสารที่ออกโดยมิชอบ เกือบทุกแปลงที่ชุมชนได้ร้องขอให้เพิกถอนไป และให้ดำเนินการภายใน 120 วัน นับว่าเป็นชัยชนะของชุมชนสันติพัฒนา นับเป็นก้าวแรก และเป็นหมุดหมายสำคัญในการตรวจสอบความฉ้อฉลของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ร่วมมือกับนายทุนเอกชน และผู้มีอิทธิพลเหนือกฎหมาย และได้ผลักดันให้ทรัพยากรที่ดินของรัฐต้องถูกนำมากระจายการถือครองอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมเพื่อให้เกษตรกรไร้ที่ดิน หรือคนจนได้ใช้ประโยชน์” ตัวแทนสกต.กล่าว
ทั้งนี้สิ่งที่ สกต. เรียกร้องคือ การปฏิรูปที่ดิน สร้างความเป็นธรรมให้กับเกษตรกร และคนจน ในการเข้าถึงที่ดินในฐานะเป็นฐานทรัพยากรและปัจจัยการผลิตขั้นพื้นฐานของเกษตรกร และการใช้แนวทางการบริหารจัดการร่วมกันภายใต้ระบบสิทธิร่วมของชุมชนในที่ดิน และฐานทรัพยากรที่เป็นปัจจัยการผลิต เพราะแนวทางนี้จะทำให้เกษตรกรสามารถถือครองที่ดินได้อย่างมีความมั่นคงยั่งยืน สามารถปรับตัวและสร้างอำนาจต่อรองได้จริง
สมชาย ฝั่งชลจิตร รองประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีประชาชนเดินทางเข้ามาร้องเรียนที่กมธ.ที่ดินฯมากกว่า 300 เรื่อง โดยพบว่าปัญหาที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากนโนบายของรัฐที่ทำให้เข้าไม่ถึงสิทธิในที่ดินกิน มีด้วยกัน 3 กรณีคือ 1.การได้รับผลกระทบจากประกาศพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ทับที่ของชาวบ้านจนทำให้ชาวบ้านต้องกลายเป็นผู้บุกรุก ทั้งๆ ที่อยู่ในพื้นที่ดั้งเดิมและมีเอกสารกรรมสิทธิเดิมคือใบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) หรือใบใช้ประโยชน์ที่ดินในรูปแบบอื่น 2.การได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ทับพื้นที่ดั้งเดิมของชาวบ้าน เช่น กรณีของบางกลอย และพื้นที่เกาะที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อยู่ในพื้นที่มาก่อนมีการประกาศพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติทางทะเล เช่น กลุ่มอุรักลาโว้ย หรือกลุ่มมอร์แกนก็ได้รับผลกระทบในนโยบายนี้เช่นกัน และการได้รับผลกระทบจากกรณีที่ สปก. ออกประกาศพื้นที่ของสปก.ทับพื้นที่ของชาวบ้านอีกเช่นกัน โดยทั้ง 3 กรณีนี้แม้ชาวบ้านจะพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้เอกสารสิทธิ์มากแค่ไหนแต่กระบวนการของราชการก็เบียดขับให้คนตัวเล็กเข้าไม่ถึงระบบของการออกเอกสารสิทธิ์โดยชอบธรรมอยู่ดี
กมธ.ที่ดินฯ ยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาสามารถดำเนินการแก้ไขไปให้ประชาชนเพียงร้อยละ 5 จากเรื่องที่ชาวบ้านร้องเรียนมาทั้งหมด โดยอุปสรรคที่พบ คือ ความล่าช้าของระบบราชการไทย โดยเฉพาะการทำงานกองแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) ที่ลำดับการทำงานทั้งระดับชาติ ระดับกลาง และระดับจังหวัด ซึ่งกว่าแต่ละกองจะประชุมกันและมีมติในการแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านได้ นอกจากนี้พบว่าการพิสูจน์สิทธิของชาวบ้านต่อการเข้าถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินถือว่ามีอุปสรรคอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีพิสูจน์ภาพถ่ายทางอากาศ เพราะชาวบ้านไม่มีต้นทุนเหมือนกลุ่มทุน ซึ่งถือเป็นข้อเสียเปรียบในการพิสูจน์ในชั้นศาล และถือเป็นการเปิดช่องสำคัญในการเกิดคอรรัปชั่นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มทุน
“เราเห็นข้อมูลได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อมีการพิสูจน์พื้นที่เพื่อทำการออกเอกสารสิทธิ์จะเป็นกลุ่มทุนที่เข้าถึงข้อมูล มีทุนทรัพย์ และเข้าถึงเทคโนโลยีรวมถึงได้รับความร่วมมือจากความฉ้อฉลของเจ้าหน้าที่รัฐทำให้กลุ่มทุนได้เอกสารสิทธิ์ไปครอบครองก่อนทั้งๆที่เป็นพื้นที่เดียวกันกับของชาวบ้าน”สมชาย ระบุ
สมชายกล่าวว่า สำหรับกรณีของ สกต.นั้น หากศาลปกครองอ่านคำพิพากษาในวันที่ 19 มี.ค. นี้ เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับที่ตุลาการแถลงคดีคือให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ของบริษัทเอกชนออกจากพื้นที่ของ สปก. ก็จะสามารถนำตัวอย่างการสู้คดีของ สกต. ขึ้นมาเป็นตัวตั้งในการตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลของการออกเอกสารสิทธิ์ และหากกรมที่ดินไม่ทำการเพิกถอนโฉนดของบริษัทเอกชน ก็จะนำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งอาจจะนำไปสู่การฟ้องร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่ามีกระบวนการทุจริตเกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่นำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่รับผิดชอบได้ ว่าปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ หรือสามารถแจ้งความเอาผิดกับอธิบดีกรมที่ดินได้ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ศิริวรรณ ว่องเกียรติไพศาล ทนายความกล่าวว่า ชุมชนสันติพัฒนาถูกบริษัทเอกชนฟ้องร้องทางแพ่ง ขับไล่ชาวบ้านชาวบ้านออกจากที่ดินสวนปาล์ม เรียกค่าเสียหาย 2 คดี จำนวน 15,000,000 บาท และฟ้องอาญาข้อหาบุกรุกอีก 1 คดี นอกจากนี้ยังมีคดีที่มีคนลอบสังหารชาวบ้านที่ต่อสู้เรื่องสิทธิที่ในที่ดินของสกต.อีก 1 คดีด้วย ทั้งนี้ในคดีแพ่งที่บริษัทเอกชนฟ้องเรียกค่าเสียหายกับชาวบ้าน ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ชาวบ้านชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,300,000 บาท และให้ออกจากพื้นที่ แต่ชุมชนได้ยืนยันไปแล้วว่าพื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่นั้นเป็นพื้นที่ของ สปก.
โดยคดีนี้มีความน่าสนใจตรงที่ สปก.เจ้าของพื้นที่ที่ ในตอนหลังได้อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าอยู่ได้ แต่ศาลในคดีแพ่งยังคงยึดหลักการเดิม โดยให้ บริษัทเอกชนมีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่ชาวบ้านได้ จึงกลายเป็นว่าเจ้าของที่ดินมีสิทธิน้อยกว่าบริษัทเอกชนที่มาละเมิดบุกรุกที่ดินของ สปก. ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ในส่วนของบริษัทเอกชนที่เป็นคู่พิพาทเองก็ทำหนังสือในการยอมคืนพื้นที่ข้อพิพาทกับชาวบ้านให้กับสปก.แล้วด้วย ทั้งนี้คำพิพากษาของศาลแพ่งได้ขับไล่บุคคลที่บริษัทฟ้อง 12 คนและบริวารออกจากพื้นที่ชุมชน สันติพัฒนา ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ได้ยื่นคำร้องเพื่อแสดงอำนาจพิเศษว่าเขาไม่ใช่บริวารของทั้ง 12 คน และชาวบ้านอยู่ในพื้นที่ของสปก. ที่บริษัทได้คืนให้กับสปก.แล้ว ซึ่งกำลังจะมีการไต่สวนการขอแสดงอำนาจพิเศษในวันที่22 มี.ค.ที่จะถึงนี้ และที่สำคัญบริษัทเอกชนไม่ใช่เกษตร ชาวบ้านเป็นเกษตรกรดังนั้นสิทธิของเกษตรก็ควรที่จะมีสิทธิในการอยู่ทำกินในพื้นที่ของสปก.
ส่วนคดีที่ศาลปกครองชาวบ้านฟ้องเพิกถอนโฉนดที่ดินของบริษัทเอกชน ซึ่งศาลจะตัดสินในวันพรุ่งนี้ (19 มี.ค.64) นี้นั้น ขอเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกับจับตากรณีที่ศาลปกครองจะอ่านคำพิพากษากรณีที่ชาวบ้านฟ้องเพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของบริษัทเอกชนจากพื้นที่สปก. ซึ่งเป็นนส. 3 ก จำนวน 10 แปลง และพื้นที่โฉนดที่ออกโดยมิชอบอีก 13 แปลงที่บริษัทถือครองอยู่ โดยคดีนี้เป็นคดีที่ชาวบ้านเขาต่อสู้เพื่อนำที่ดินคืนให้กับรัฐ
“เราร้องขอให้รัฐเพิกถอนโฉนดเพราะเป็นที่ป่าไม้ที่บริษัทเอกชนได้มีการออกเอกสารสิทธิที่ไม่ชอบ ซึ่งหน่วยทุกหน่วยยังไม่มีการเพิกถอนจนนำมาสู่เรื่องของการฟ้องคดีปกครองซึ่งจะเป็นนิมิตรหมายที่ดี และจะเป็นเรื่องที่ทำให้เห็นว่าบริษัทหรือนายทุนต่างๆที่บุกรุกป่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการอย่างจริงจังในการที่จะเอาผืนป่าหรือที่ดินของรัฐกลับคืนมา และถ้าเห็นว่าป่าบริเวณนั้นเป็นป่าเสื่อมโทรมจะให้สปก.จัดสรรก็ควรเป็นชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรหรือคนที่ไม่มีที่ดินทำกินได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินนั้น ไม่ใช่นำมาให้นายทุนถือครองในลักษณะนี้” ศิริวรรณ ระบุ
ศิริวรรณยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพรุ่งนี้ศาลปกครองมีคำสั่งให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนด พน้อมนส.3 ก จำนวน 10 แปลงซึ่งเราคาดหวังว่ากรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดิน หรือผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดจะไม่ดำเนินการในเรื่องการอุธรณ์คดีต่อศาลปกปกครองสูงสุด เพราะถ้ายังอุธรณ์อยู่เราจะไปขอบังคับคดีเพื่อขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ก็จะต้องรอออกไปก่อน แต่ถ้าไม่มีการอุธรณ์และกรมที่ดินไม่ยอมเพิกถอนเอกสารสิทธิตามคำสั่งศาล เราก็จะนำคำสั่งของศาลปกครองไปแสดงต่อที่ดินเพื่อเพิกถอนเพราะในคดีนี้เราฟ้องทั้งอธิบดีที่ดิน กรมที่ดิน คณะกรรรมการตรวจสอบที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน และเรายังฟ้องเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดสุราษฏร์ธานีด้วยที่เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมถึงบริษัทเอกชน ถ้ามีคำพิพากษาที่ออกมาเป็นประโยชน์เราก็สามารถนำไปใช้ได้เลย และหากพ้น 120 วันที่จะต้องเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ตามที่ตุลาการผู้แถลงคดีได้เคยแถลงไว้ก็เป็นประเด็นที่เราสามารถดำเนินการได้เลยถ้ากรมที่ดินไม่มีการอุธรณ์