เมื่อวันที่ 20 ม.ค. - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กหลังรัฐบาลดำเนินการแจ้งความเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยระบุว่า "ต่อให้ดิสเครดิตหรือเอาคดีความมาก่อกวนมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้ข้อสงสัยที่ผมตั้งไว้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น ทำไมรัฐต้องรับหน้าแทนบริษัทเอกชนมากขนาดนี้ ยอมรับแล้วหรือไม่ว่าเราให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทเอกชนนี้จริงๆ"
ธนาธรระบุว่า ถ้าอยากจบเรื่องนี้ก็ต้องชี้แจงด้วยเอกสาร-หลักฐานให้กระจ่าง โดยขอให้เปิดเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น
1.สัญญาจ้างผลิตระหว่าง AstraZeneca กับ Siam Bioscince ว่าตกลงแล้วจะรับผลิตกี่โดส ราคาต้นทุนการผลิตของบริษัทเท่าไหร่ ราคาขายให้ AstraZeneca เท่าไหร่ มีรายละเอียดในสัญญาอย่างไรบ้าง
2.สัญญารับงบประมาณระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติกับ Siam Bioscience ว่ามีรายละเอียดเงื่อนไขอย่างไร มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่ และเอาไปใช้ทำอะไร ตรงตามที่เคยแถลงไว้หรือไม่
3.บันทึกการประชุมของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการวางเงื่อนไข คุณสมบัติ และรายละเอียดของเอกชนที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการผลิตวัคซีน เพื่อให้ประชาชนแน่ใจว่าการเลือกสนับสนุน Siam Bioscience เป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้องตามหลักการ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ยิ่งเปิดเผยมากยิ่งโปร่งใส
ธนาธรระบุว่า ยืนยันอีกครั้งว่า ตนเห็นด้วยทุกประการที่รัฐหรือเอกชนไทยจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตวัคซีน แต่ตนตั้งคำถามถึงกระบวนการคัดเลือกเอกชน การใช้ประเด็นเรื่องวัคซีนมาสร้างความนิยมทางการเมือง และวิธีการบริหารจัดการที่ไม่มีการกระจายความเสี่ยง ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนช้าและครอบคลุมประชากรน้อยกว่าประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า
"หากยึดตามไทม์ไลน์ของรัฐบาล กว่าเราจะกลับทำมาหากินได้ตามปกติไม่ต้องเปิดๆ ปิดๆ แบบนี้ ก็อย่างน้อยปี 2565 ซึ่งประชาชนรอไม่ไหว" ธนาธรระบุ
'ก้าวไกล' แถลงป้อง 'ธนาธร' ตรวจสอบ รบ.ในการจัดหาวัคซีน
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากกรณีรัฐบาลมอบหมายให้ตัวแทนไปแจ้งความเอาผิด ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ฐานความผิด ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กรณีการไลฟ์สดของ ธนาธรหัวข้อ "วัคซีนพระราชทาน ใครได้ ใครเสีย?" โดยกล่าวหาว่ามีเนื้อหาทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์โดนดูถูกเกลียดชังนั้น
ชัยธวัช ระบุว่า พรรคก้าวไกลมีความเห็นว่า การออกมาแสดงความคิดเห็นของ ธนาธร ถือเป็นการตรวจสอบรัฐบาลในการจัดการวัคซีนโควิด-19ของรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่จะกระทบประชาชนเป็นวงกว้าง เป็นการตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส ให้การดำเนินการของรัฐบาลเป็นประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด ไม่ใช่การชี้นำให้เกิดการดูถูกเกลียดชังตามข้อกล่าวหา ซึ่งเรื่องนี้ ทาง กมธ.การสาธารณสุข ก็เคยตั้งคำถามว่า เหตุใดเลือก บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้รับเทคโนโลยีโดยรัฐบาลให้การสนับสนุน นี่เป็นการตั้งคำถาม และตรวจสอบตามปกติ ซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีเองก็ได้เป็นคนแรกที่เปิดเผยเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2563 ในพิธีเซ็นสัญญา โดยเป็นประธานและเปิดเผยเองว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงพระราชทานให้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ รับการถ่ายทอด กลายเป็นที่สนใจจนปัจจุบัน
"เรายืนยันว่าเรื่องนี้เป็นการตรวจสอบ เป็นหน้าที่ และเป็นความชอบธรรมของประชาชนทุกคนไม่เฉพาะ ธนาธรเท่านั้น ดังนั้น หน้าที่ของรัฐบาลคือต้องออกมาชี้แจงโดยละเอียด เพื่อให้เกิดความโปร่งใส การใช้งบประมาณ การทำสัญญากับเอกชนต่างๆ เป็นอย่างไร ต้องเปิดเผยสัญญากับเอกชนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเรื่องวัคซีนให้สาธารณชนหายสงสัย ซึ่งนี่จะเป็นการตอบคำถามดีที่สุด ไม่ใช่การใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาปิดปากไม่ให้เกิดการตรวจสอบจากสาธารณชน" ชัยธวัช กล่าว
ชัยธวัช กล่าวด้วยว่า การแจ้งความครั้งนี้ เป็นอีกกรณีหนึ่งที่เป็นการตอกย้ำการใช้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รวมถึง มาตรา 116 เป็นเครื่องมือปิดปากผู้เห็นต่างทางการเมือง เราเห็นว่าการใช้กฎหมายในลักษณะนี้จะยิ่งส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน ยิ่งส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อสังคมไทย ยืนยันว่า การออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเป็นความชอบธรรมของประชาชน การฟ้องแบบนี้ไม่ใช่การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกวิธี
ด้าน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีอดีต ผบ.ทบ.ถึง 3 คน ดังนั้น ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ การปกป้องพระเกียรติยศควรคำนึงให้มากว่า สิ่งที่ตัวเองทำนั้น ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทหรือเปล่า ต้องถามกลับไปที่นายกรัฐมนตรีและพวก และที่สำคัญคือต้องเอาสัญญาตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารมาเปิดเผย ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องรอให้สาธารณชนเรียกร้องด้วยซ้ำ ตัวนายกรัฐมนตรีต้องเอาสัญญามาเปิดเผย เพราะตัวเงินสนับสนุนนั้นเป็นเงินของประชาชน แต่ถ้าเป็นเงินส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตนเองจะไม่ว่าอะไรเลย แต่อย่างไรก็ต้องติดตามเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องวัคซีนที่ต้องฉีดให้กับคนไทยทุกคน เป็นเรื่องสาธารณะ นายกรัฐมนตรี และ ครม. ต้องเปิดเผยโดยที่ประชาชนไม่ต้องทวงถาม แต่ถึงวันนี้ ตนถามไปกี่วันแล้ว นอกจากออกมาด่าว่าบิดเบือน ส่งไอโอมารุมผม ทำภาพตัดแปะ ท่านควรเอาสัญญามากาง แค่นี้ก็จบ ไม่ต้องปากดีทำภาพตัดแปะ บอกว่าผมเป็นขยะ หรือบอกว่าใครเป็นขยะ ถ้าอย่างนั้นท่านเองก็เป็นสวะเหมือนกัน
"ผมถามไปหลายครั้งไม่เคยมีใครตอบ นี่เป็นเรื่องที่สาธารณชนพึงรู้ เพราะเป็นเรื่องการใช้เงินภาษีของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาเราเห็นในโพสต์มากมายว่าเงินที่รัฐบาลสนับสนุนไปจะกลายเป็นวัคซีน 26 ล้านโดส เราก็อยากรู้ว่ามูลค่าต่อโดสนั้นเท่าไหร่ และถ้ารัฐบาลต้องจัดซื้อจาก บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ด้วยงบประมาณแผ่นดิน เขาคิดราคาเราเท่าไหร่ และขีดความสามารถในการส่งวัคซีนเดือนละกี่โดส เพราะเราก็ต้องมาคำนวนว่าการจะฉีดได้ครอบคลุมนั้นจะใช้เวลาเท่าไหร่ รวมถึงราคาที่จะขายให้กับรัฐบาลไทยเมื่อเทียบกับ 174 ล้านโดสที่จะขายให้ประเทศในอาเซียนตามแผนของเขาราคาแตกต่างกันหรือไม่ เราได้ส่วนลดที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนที่คุ้มค่าหรือไม่ สิ่งเหล่านี้จะต้องตอบได้หมด ถ้ารัฐบาลนำสัญญา ข้อตกลง เงื่อนไขผูกพันทั้งหมดมากางบนโต๊ะ แล้วให้ประชาชนได้ร่วมตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งความโปร่งใส การดำเนินการอย่างรอบคอบนั้น จะเป็นการปกป้องพระเกียรติยศที่ดีที่สุด" วิโรจน์ระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง