นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา เปิดเผยว่า มีประเด็นใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม และไม่ว่าปมถวายสัตย์ฯและปมไม่แจงที่มาของรายได้จะแก้ไขอย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีผลทำให้รัฐบาลนี้เกิดความชอบขึ้นมาได้ นายเรืองไกร โดยปมใหม่นี้ มีเหตุมาจากนายชวน หลีกภัย ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญให้ครบถ้วน กรณีการให้ความเห็นชอบพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
โดยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 6/2559 ระบุไว้ชัดว่า การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญได้มีการแบ่งขั้นตอนของการเสนอชื่อและการให้ความเห็นชอบออกจากกัน กล่าวคือ ขั้นตอนการเสนอชื่อต้องทำในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และ ขั้นตอนการให้ความเห็นชอบต้องทำในที่ประชุมรัฐสภา
เรื่องนี้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวางบรรทัดฐานไว้แล้ว ไม่น่าจะมีการทำผิดพลาดขึ้นมาได้ แต่ก็มีเหตุขึ้นมาจนได้ เพราะเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2562 นายชวนในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะต้องดำเนินการให้มีการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก่อน แต่นายชวนไม่ทำ ทั้งที่มีการทักท้วงแล้ว และมีการรวบขั้นตอนไปทำในที่ประชุมรัฐสภา
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2562 มีหลักฐาน 2 ชิ้น คือ บันทึกการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และ บันทึกการประชุมรัฐสภา ที่ระบุชัดเจนว่า ขั้นตอนการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก่อนไม่มีแต่อย่างใด แต่กลับไปเสนอชื่อและให้ความเห็นชอบในที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งไม่อาจทำได้ เพราะเป็นการข้ามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ
การข้ามขั้นตอนโดยไม่ทำตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นประเด็นใหม่ที่คงทำให้หลายคนรู้สึกเสียวสันหลังกันแล้ว เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักรู้ได้ทันทีว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีเกิดความผิดพลาดแล้วอย่างจัง ทำให้การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เรื่องถวายสัตย์ไม่ครบ เรื่องนโยบายไม่ใส่ตัวเลข จึงเป็นประเด็นรอง
นายเรืองไกร กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องนี้ อาจเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เรือเหล็กจมลงก็ได้ ดังนั้น ตนจะไปร้องที่ อสส. ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การที่นายชวน ไม่ทำตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีคำวินิจฉัยที่ 6/2559 ไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วนั้น จะทำให้การกระทำของนายชวน หลีกภัย ขัดรัฐธรรมนูญ หรือไม่ และการให้ความเห็นชอบพลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นโมฆะ หรือไม่ โดยจะไปยื่นหนังสือที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ อาคารเอ ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ เวลา 10.30 น.