“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้รับ “เสียงเตือน” มา จึงทำการตรวจสอบและแก้เกมได้ทัน และนำมาสู่การปลด “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” พ้น รมต. ชนิดฟ้าผ่า เปรียบเป็นการทำลายกล่องดวงใจ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้า พปชร. ที่อยู่ในสภาวะ “กลืนเลือด” เพราะทุกคนล้วนเป็น “น้อง” ทั้งนั้น
จนมาถึงการที่ พล.อ.ประวิตร ตั้ง “บิ๊กน้อย”พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็น ปธ.กรรมการยุทธศาสตร์ พปชร. เพื่อเป็น “โซ่ข้อกลาง” ในการคานอำนาจ ผ่านการใช้ “ความเกรงใจ” เข้าสู้และสยบศึก เพราะ พล.อ.วิชญ์ ถือเป็น “รุ่นพี่ ตท.11-จปร.22” ของทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ตท.12-จปร.23 และ ร.อ.ธรรมนัส ตท.25-จปร.36
โดย พล.อ.วิชญ์ เป็นนายทหารสาย “ลูกผสม” ระหว่าง “บูรพาพยัคฆ์-วงศ์เทวัญ” เพราะเคยอยู่กรมทหารพรานที่ 12 จึงได้รู้จักกับ พล.อ.ประวิตร และดูแลกันมายาวนาน จากนั้น พล.อ.วิชญ์ มาเติบโตที่ ร.1 พัน.3 รอ. ทั้งนี้ พล.อ.วิชญ์ เป็นบุตรชาย พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่เป็นคีย์แมนทางการเมืองราว 40-60 ปีก่อน ทำให้ พล.อ.วิชญ์ ซึมซับมาไม่น้อย
พล.อ.วิชญ์ แม้เป็นทหารราบ แต่ก็อยู่ใน “ก๊วนทหารม้า” รู้จักมักคุ้นกับ “เสธ.ไอซ์”พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต (ตท.10) นายทหารผู้กว้างขวาง ที่คบหากันแบบเพื่อน ซึ่ง “เสธ.ไอซ์” เป็นผู้ใหญ่ที่ ร.อ.ธรรมนัส ให้ความเคารพ และเป็นคนที่ดึง ร.อ.ธรรมนัส เข้ามาสู่ถนนการเมือง ตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทยด้วย
ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตร เตรียมแต่งตั้ง “ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค” 2 คนคือ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” กับ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายการเมือง แต่ “พีระพันธุ์” ยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค โดยมีรายงานว่าจะสมัครสมาชิกพรรคเร็วๆนี้
สำหรับ “พีระพันธุ์” อดีตสายเลือด “ประชาธิปัตย์” ที่ออกยอมลาออกจาก ส.ส.ปชป. เพื่อมาอยู่กับขั้ว พปชร. มายุคนี้ได้ชื่อว่าเป็น “สายตรง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้รับมอบหมายงานสำคัญหลายอย่าง เช่น ประธาน กมธ.ศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ , คณะผู้ทำแผนฟื้นฟูการบินไทย เป็นต้น
ทั้งนี้ “พีระพันธุ์” จบจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เป็นรุ่นพี่ “บิ๊กแดง”พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวัง อดีตผบ.ทบ. เพียง 1 ปี นั่นคือเรียนทันกัน ซึ่งทั้งคู่ก็ต่างคบหากัน “แบบเพื่อน” มานาน ตั้งแต่ใส่กางเกงขาสั้น และต่างเป็นลูกนายทหาร
อีกทั้งเป็นโรงเรียนที่ พล.อ.ประวิตร เรียนจบมาด้วย มีรหัสประจำตัวคือ SG 5534 โดยมี “เพื่อนร่วมรุ่น” ได้แก่ “เสี่ยคราม”ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ และ “หม่อมอุ๋ย”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นต้น
โดย “พีระพันธุ์” เป็นบุตรชาย พล.ท.ณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ อดีตเจ้ากรมการพลังงานทหาร ผู้ริเริ่มการขุดเจาะน้ำมันที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และก่อตั้งปั๊มน้ำมันสามทหาร
ทำให้ชื่อ “พีระพันธ์” กลายเป็น “หมากตัวใหม่” ของขั้วอำนาจ “3ป.” ในทางการเมือง การเป็น “คนสายตรง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เท่ากับว่าเป็นอีกการ “คานอำนาจ” ของ “3ป.” ภายใน พปชร. หลังมีการตั้ง พล.อ.วิชญ์ ขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ตามมาด้วยการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำการ ”ยึดอำนาจ” จาก “-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” หัวหน้า ปชป. หลังลงนามคำสั่งให้ พล.อ.ประวิตร คุมหน่วยงานและกรมที่ ‘ธรรมนัส’ เคยดูแลขณะเป็น รมช.เกษตรฯ
จากเดิมที่ “จุรินทร์” ทำหน้าที่ปฏิบัติราชการแทน ในฐานะรองนายกฯ ที่กำกับดูแล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ ปลด ร.อ.ธรรมนัส ทำให้มีการมองว่าเป็น “ฟื้นสัมพันธ์” ระหว่าง “3ป.” กับ ร.อ.ธรรมนัส หรือไม่ เพราะสุดท้ายอำนาจไปอยู่ในมือ พล.อ.ประวิตร แทน ซึ่งก็ไม่ต่างจากกลับไปยังมือ ร.อ.ธรรมนัส นั่นเอง
ทำให้ ปชป. ที่นิ่งเงียบมานาน ออกมา “ขยับ” ทันที เพราะภายใน ปชป. มองว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง
ถึงขั้น “จุรินทร์” กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาภายใน พปชร. ไม่ควรกระทบพรรคอื่น เพราะจะเป็นการแก้ปัญหาหนึ่ง แต่ไปสร้างอีกปัญหาหนึ่งโดยไม่จำเป็น ซึ่งตนได้พูดคุยกับนายกฯแล้ว และนายกฯก็รับทราบ จึงเชื่อว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายได้
อีกความเคลื่อนไหวที่เป็น “สัญญาณแรง” จากเพื่อน ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ “เสธ.ชาติ”พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พปชร. เตรียมนำ 13 ส.ส.พปชร. สายด้านขวาน ขน “ลูกพรรค” ร่วมพรรค “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่จะเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย.นี้
แถมออกตัวแรง ไม่ช่วย พปชร. แล้ว เพราะเชื่อในกระแสนิยม พล.อ.ประยุทธ์ ในพื้นที่ภาคใต้ยังดีอยู่ จากนี้จะเตรียมวางแผนกวาด ส.ส. ภาคใต้ เลือกตั้งครั้งหน้าให้ได้มากขึ้น
(พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พปชร.)
สำหรับ พ.อ.สุชาติ ถือเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค พปชร. และเดินเกมเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ ดังนั้นการเตรียมขน ส.ส. ไปร่วมพรรคของ “ปลัดฉิ่ง” จึงเป็นสิ่งที่ตอกย้ำปัญหาภายใน พปชร.
ที่สุดท้ายแล้ว “พรรคสำรอง” ของ “3ป.” จึงเป็น “แผนเผชิญเหตุสุดท้าย” ที่นำมาใช้แก้เกมครั้งนี้ เพราะสัมพันธ์ระหว่าง “2ป.ประยุทธ์-อนุพงษ์ เผ่าจินดา” กับ “ธรรมนัส” นั้นยากจะกลับมา เพราะเป็นไปในลักษณะ “ต่างคนต่างอยู่”
ทำให้ “ยุทธวิธี” ครั้งนี้เป็นไปในลักษณะ “แยกกันเดินรวมกันตี” นั่นเอง
(ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย)
สำหรับ “พรรคสำรอง” ของ “ฉัตรชัย” ว่ากันว่าเตรียมเข้าไป “เทคโอเวอร์” พรรคที่ขับเคลื่อนมาแล้ว นั่นคือ “พรรคเศรษฐกิจไทย” ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อ เม.ย. 2563 และมีการจัดกิจกรรมพรรคต่อเนื่อง
โดยพรรคดังกล่าวมี “ทุนหนุนหลัง” ไม่น้อย โดยเป็นสาย “แม่เลี้ยง-พ่อเลี้ยง-นายหัว” ที่เป็น “นายทุนท้องถิ่น-ทุนหัวเมือง” และเป็นบุคคลที่มี “บารมี” ในพื้นที่ ส่วนทุนใหญ่ที่ถูกจับตาคือ “ทุนพลังงาน” ที่มี “คอนเนกชั่น” เชื่อมโยงกับ “ฉัตรชัย” ผ่าน “คอนเนกชั่นสีชมพู” จากรั้วจุฬาฯ นั่นเอง เรียกได้ว่า “กระสุน-เสบียง” พร้อม เตรียมออกรบแล้ว
ทั้งหมดนี้เป็น “ปฏิบัติการเรียบอาวุธ” ของทั้ง “3ป.” ในการเดินเกมการเมือง ภายใต้ “รอยร้าว” ภายใน พปชร. ผ่านการ “พลิกแพลงอำนาจ” รูปแบบต่างๆ ที่ทั้ง “3ป.” ได้เตรียม “แผนเผชิญเหตุ” ไว้ทุกทาง
เดิมพันครั้งนี้ “แพ้ไม่ได้” หากแพ้ก็ไปทั้ง “3ป.” แน่นอน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง