ไม่พบผลการค้นหา
นายกรัฐมนตรี ชี้รัฐบาลใหม่คิดงานใหญ่ต้องทำงานเล็กเป็นด้วย ย้ำคนไทยต้องรู้จักรากเหง้าตัวเอง ปัดนโยบายประชารัฐโยงพรรคการเมือง ย้ำไม่มีทหารจะอยู่กันอย่า​งไร ยืนยันการปราบปรามทุจริต เป็นไปตามกฎหมาย ชวนคนเกลียดทหารไปนั่งชายแดน

ที่เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานมหกรรมการสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ อนาคตไทย อนาคตเรา :Our County Our Future พร้อมปาฐกถา​ตอนหนึ่งว่า ขอเตือนไว้ ไม่ว่าใครคิดงานใหญ่อะไรออกมา อย่าคิดแต่เป้าหมายต้องรู้วิธีทำด้วย ทำงานใหญ่ต้องทำงานเล็กได้ด้วย ไม่ใช่สั่งอย่างเดียวแต่ต้องรู้รายละเอียดทุกกระทรวง ทุกรัฐบาลต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่ชี้นำให้เกิดประโยชน์กับตัวเองอย่างเดียว จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล เพราะมีผลต่อยุทธศาสตร์ชาติในอนาคตด้วย หากทำงานเล็กไม่เป็น อย่าทำงานใหญ่ ไม่ใช่ทำแต่นโยบายใหญ่อย่างเดียว นี่คือการทำงานของรัฐบาลนี้ แม้จะยากที่จะทำให้คนกว่า 70 ล้านคนปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ต้องทำให้คนเคารพกฎหมายให้ได้ หากไม่ทำสอนเรื่องนี้ก็แก้ปัญหาอื่นไม่ได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เสน่ห์ของไทย คือการมีอัตลักษณ์ มีความเป็นไทย แต่หลายคนพยายามทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป ซึ่งเห็นหลายคนที่พูดกันในเวลานี้ ดังนั้นอะไรที่ดีควรรักษาไว้ เพราะเป็นรากเง้าของประเทศไทย หากลืมไปหมดจะยุบตรงนั้นหรือจะรื้อตรงนี้ แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไร หากไม่รู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยเราจะไม่รู้ว่าจะรักประเทศได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน จำคำพูดนี้ไว้ ยกตัวอย่างต่างประเทศแล้วด่าประเทศตัวเอง ตนคิดว่ามันใช้ไม่ได้

อย่างไรก็ตามหลายเรื่องที่ทำไปแล้วมีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ให้เวลาเสียเปล่า ขณะเดียวกันตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาได้ทำเรื่องผังเมืองได้ครบทุกจังหวัด ซึ่งการทำงานใหญ่อะไรก็ตามต้องดูงานเล็กด้วย และต้องฟังความเห็นของประชาชนด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลายคนรังเกียจทหาร ส่วนตัวไม่เข้าใจว่าวันนี้อยู่มาอย่างไร คนที่ไม่ชอบทหารไปนั่งอยู่ชายแดนกับตนเองหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสบายนัก หากไม่มีทหารชายแดนหรือในภาคใต้จะเกิดอะไรขึ้น ที่พูดกันรู้จริงหรือไม่ คนดีก็มีเยอะ คนไม่ดีก็มีอยู่ ต้องนำคนไม่ดีออกไป ไม่ว่าใครทำผิดต้องถูกลงโทษ หากไม่มีทหารลองคิดดูว่าหากเกิดภัยพิบัติจะเอาใครไปช่วยเหลือ จึงขอให้ช่วยกันพูด หากไม่ช่วยกันพูดจะไม่เข้าใจกันทั้งสิ้น หากใครเข้าใจก็ช่วยกันพูดและไม่ต้องพูดเอาใจ แต่ขอให้พูดความจริงจะได้ช่วยลดปัญหาและความขัดแย้งได้บ้าง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนนโยบายประชารัฐ ไม่เกี่ยวกับพรรคใครทั้งสิ้น และเรื่องนี้พูดมา 3 ปีแล้ว เอามาโยงกันตลอด จึงอยากให้เข้าใจคำว่า "ประชารัฐ" คือทุกคนร่วมกัน ได้แก่ รัฐ เอกชน และประชาชน แต่เหลือเพียง เอ็นจีโอ ซึ่งตนเองว่าไม่ทราบว่าจะเชิญอย่างไร เมื่อวันก่อนมีการคัดค้านพื้นที่การสร้างเขื่อน ที่ทุกคนต้องการน้ำ และต้องการแก้ปัญหาน้ำท่วมโดยนำโครงการลงไป แต่มีการค้านจากคนนอกพื้นที่ มาเดินขบวนหน้าทำเนียบรัฐบาล ทั้งหมดเป็นความยากง่ายในการบริหารราชการแผ่นดิน ขณะเดียวกัน 4-5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลลดการเยียวยาเหลือแค่จำนวนพันล้านบาท ซึ่งเมื่อก่อนหลายหมื่นล้านบาททุกปี การพัฒนาแหล่งน้ำ ทำมากกว่า 4 รัฐบาลที่ผ่านมา

"ขณะนี้มีการเมืองเข้ามาโจมตีเรื่องทุจริตตกต่ำ จึงต้องดูว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ มีเกณฑ์การวัดอย่างไร อะไรที่มันดีมันแย่ ต้องไปแก้ในสิ่งที่มันแย่ หากพูดไปกล่าวหาว่ารัฐบาลนี้ก็เหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมามีการติดคุกไปเท่าไหร่รัฐบาลนี้ ก่อนหน้านี้มีการติดคุกแบบนี้หรือไม่ ไม่ได้เรื่อง ซึ่งเรื่องการทุจริตต้องดำเนินการต่อไปตามกฎหมาย ใครผิดว่าไปตามผิด ไม่เคยก้าวล่วงดังนั้นต้องรับผิดชอบกันเอง เรื่องใดที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เราไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งบุคคลใดที่ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะตนมีหน้าที่ให้โอกาสทุกคนในการทำหน้าที่ของตนเอง ใครจะฟ้องใคร ฟ้องไปไม่เกี่ยว เดียวหาว่าลงโทษคนนี้ไม่ลงโทษคนนั้น ไม่เช่นนั้นจะเสียหายทั้งประเทศ เพราะศาลและกระบวนการยุติธรรมตัดสินคนทั้งประเทศ มิเช่นนั้นก็มองว่าไม่เป็นธรรมหมด คนที่ติดคุกไปแล้วก็ไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่ 

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างการปาฐกถานายกฯ มีอารมณ์ฉุนเฉียว​ ใช้มือเคาะโพเดียม​หลายครั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า วันนี้อารมณ์ดีมาตั้งแต่เช้า แต่บังเอิญเปิดเจอโทรทัศน์อยู่ช่องหนึ่ง พูดจาไร้สาระ บางทีพูดแล้วรู้สึกแย่ หากเป็นแบบนี้ประเทศไทยก็ไปไหนไม่ได้ เพราะเลือกข้างชัดเจน เหมือนไม่เอาประเทศไทย