ไม่พบผลการค้นหา
'โยชิฮิเดะ ซุกะ' นายกฯ ญี่ปุ่นจบภารกิจเดินทางเยือนเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกอย่างเป็นทางการ แสดงจุดยืนสนับสนุนความพยายามของอาเซียนสร้างสันติภาพในทะเลจีนใต้ ชูแนวคิดความร่วมมือระดับภูมิภาค 'อินโด-แปซิฟิก ที่เสรีและเปิดกว้าง' คานอิทธิพลจีน

‘โยชิฮิเดะ ซุกะ’ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเดินทางเยือนเวียดนามและอินโดนีเซียระหว่างวันที่ 18-21 ต.ค. 2563 ซึ่งทั้ง 2 ประเทศถือเป็นจุดหมายแรกในการทำภารกิจเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีซุกะ นับตั้งแต่ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่นต่อจากอดีตนายกรัฐมนตรี ‘ชินโซ อาเบะ’ เมื่อเดือนที่ ก.ย. ที่ผ่านมา โดยถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภูมิภาคนี้ต่อญี่ปุ่น ท่ามกลางการขยายอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในอาเซียน  

หลังเดินทางถึงกรุงจาการ์ตาเมื่อวันที่ 20 ต.ค. และเข้าพบหารือกับประธานาธิบดี ‘โจโก วิโดโด’ ของอินโดนีเซีย นายกรัฐมนตรีซุกะได้ระบุว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นกุญแจสำคัญต่อการดำเนินวิสัยทัศน์ "อินโด-แปซิฟิก ที่เสรีและเปิดกว้าง" ของญี่ปุ่น หรือ FOIP พร้อมกล่าวกับวิโดโดว่า ญี่ปุ่นมุ่งมั่นสนับสนุนสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคนี้ โดยสนับสนุน ‘ทัศนะอาเซียนว่าด้วยอินโด-แปซิฟิก’ (ASEAN Outlook on the Indo-Pacific) ที่อินโดนีเซียริเริ่มอย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นยุทธศาสตร์ที่มีลักษณะพื้นฐานร่วมกันมากมายกับวิสัยทัศน์อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้างของญี่ปุ่น

ขณะที่ผู้นำอินโดนีเซียก็แสดงความยินดีต่อการสนับสนุนของญี่ปุ่นต่อประเทศสมาชิกอาเซียนและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างอินโดนีเซียและญี่ปุ่น โดยย้ำว่าจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือจะเดินหน้าต่ออย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะท่ามกลางการแข่งขันระหว่าง 2 มหาอำนาจของโลกกำลังทวีขึ้นอย่างสูง และย้ำถึงความหวังว่าทะเลจีนใต้จะเป็นทะเลแห่งสันติภาพและเสถียรภาพ 

นายกรัฐมนตรีซุกะยังเผยว่า ญี่ปุ่นและอินโดนีเซียเห็นชอบร่วมกันที่จะเสริมความแข็งแกร่งความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่าง 2 ฝ่าย และจะทำงานเพื่อจัดการหารือ ‘สองบวกสอง’ ครั้งที่ 2 ของรัฐมนตรีต่างประเทศและกลาโหม’

นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศยังเห็นชอบทำงานเพื่อบรรลุข้อตกลงด้านการถ่ายโอนอุปกรณ์และเทคโนโลยีด้านกลาโหม  

ญี่ปุ่นได้ผ่อนคลายกฎห้ามส่งออกอาวุธเมื่อปี 2557 และนับตั้งแต่นั้นมาก็ส่งเสริมการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ภายใต้ความพยายามของอาเบะเพื่อยกระดับขีดความสามารถทางทหารของญี่ปุ่นและช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ โดยเมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา ซุกะก็ได้ลงนามข้อตกลงลักษณะเดียวกันนี้กับเวียดนามด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาญี่ปุ่นได้ทำข้อตกลงส่งออกยุทโธปกรณ์กับ 11 ประเทศ ที่รวมถึงสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย รวมถึงกำลังเจรจาข้อตกลงดังกล่าวกับไทย  

ผู้นำญี่ปุ่นยังได้เสนอให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 473 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจอินโดนีเซียที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยเงินกู้นี้จะถูกนำไปใช้สำหรับมาตรการป้องกันภัยพิบัติ เวชภัณฑ์และอุปกรณ์สำหรับสถาบันการแพทย์ของอินโดนีเซีย

รายงานระบุว่า ในขณะที่ญี่ปุ่นเดินหน้าส่งเสริมวิสัยทัศน์อินโด-แปซิฟิก ที่เสรีและเปิดกว้าง ร่วมกับสหรัฐฯ ออสเตรเลียและอินเดีย รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการแสดงให้เห็นว่าการเคารพในระบบสากลบนพื้นฐานกฎระเบียบทำให้ญี่ปุ่นเป็นหุ้นส่วนที่ดีสำหรับชาติอาเซียนมากกว่าจีนที่กำลังเพิ่มกิจกรรมทางทหารและการดำเนินการฝ่ายเดียวในภูมิภาค และในขณะที่หลายประเทศในอาเซียนมีข้อพิพาทกับจีนเรื่องการอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ แต่ก็พยายามไม่แสดงท่าทีหมางเมินกับจีน ซึ่งถือเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจรายใหญ่ รวมถึงระมัดระวังต่อการเข้าไปพัวพันในการเผชิญหน้าที่ตึงเครียดขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แต่หลายประเทศก็มีท่าทีตอบรับการมีส่วนร่วมมากขึ้นในภูมิภาคนี้ของญี่ปุ่น

ทั้งนี้ การเดินทางเยือนเวียดนามและอินโดนีเซียของนายกรัฐมนตรีซุกะ ยังเกิดขึ้นหลังการประชุม ‘กลุ่มควอด’ ในกรุงโตเกียวเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งควอดเป็นการรวมกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการของอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ที่มองว่าควอดเป็นป้อมปราการต้านอิทธิพลของจีน

โดยรัฐบาลจีนประณามการรวมกลุ่มดังกล่าวของ 4 ประเทศประชาธิปไตยนี้ว่าเป็น 'มินิ นาโต' ที่พุ่งเป้าควบคุมการพัฒนาของจีน

อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกนักข่าวถามว่าญี่ปุ่นต้องการสร้างนาโตในเวอร์ชั่นของอาเซียนหรือไม่ นายกรัฐมนตรีซุกะก็บอกว่า การตอบสนองต่อสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ของญี่ปุ่นไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ทั้งยังได้กล่าวว่าญี่ปุ่นต่อต้านการกระทำใดๆ ก็ตามที่จะเพิ่มความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญที่ทุกประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นทะเลจีนใต้ต้องไม่หันไปใช้กำลังหรือการบีบบังคับ แต่ต้องหาทางแก้ปัญหาอย่างสันติต่อข้อพิพาทบนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ  

อ้างอิง Japan Today / The Japan Times / CNA

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: