หลังจากการเข้าพบกับ จอห์นสันแถลงต่อสื่อมวลชนว่า “ยูเครนได้ต่อต้านกับความเลวร้ายและผลักดันกองกำลังรัสเซียให้ถอยออกไปจากประตูเมืองของเคียฟ (พวกเขา) บรรลุความสำเร็จด้านการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 มันเกิดขึ้นได้เพราะความเป็นผู้นำอันเด็ดเดี่ยวของประธานาธิบดีเซเลนสกี (และ) วีรกรรมและความกล้าหาญของชาวยูเครนที่ทำให้ความชั่วร้ายของปูตินถูกขัดขวาง”
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรย้ำอีกว่า “วันนี้ผมขอพูดอย่างชัดเจนว่า สหราชอาณาจักรจะยืนหยัดอย่างไม่สั่นคลอนกับพวกเขา (ชาวยูเครน) ในการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ และเราอยู่จะยืนอยู่ด้วยในระยะยาว” ทั้งนี้ จอห์สันระบุว่าสหราชอาณาจักรจะมอบความช่วยเหลือด้านการทหารและเศรษฐกิจแก่ยูเครนเพิ่มอีก เพื่อรับประกันว่ายูเครนจะยังคงเป็นชาติที่เสรีและมีอธิปไตยเป็นของตนเอง
เมื่อคืนที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรแถลงว่า ตนจะส่งรถเกราะจำนวน 120 คัน พร้อมด้วยระบบขีปนาวุธต่อต้านเรือให้แก่ยูเครน โดยขีปนาวุธดังกล่าวจะสามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้แก่เรือรบของรัสเซียได้อย่างง่ายดาย เพื่อหยุดการเข้ายึดท่าเรือของยูเครนโดยรัสเซียบริเวณทะเลดำ ทั้งนี้ สหราชอาณาจัรได้มอบความช่วยเหลือแก่ยูเครนกว่า 100 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4.4 พันล้านบาท) ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธต่อต้านรถถังกว่า 800 หัว รวมถึง “โดรนพลีชีพ” และอุปกรณ์ต่อต้านอากาศยาน ชุดเกราะ และกล้องส่องในที่มืด
มีหลักฐานบ่งชี้ว่า รัสเซียเริ่มถอยทัพออกจากบริเวณรอบกรุงเคียฟตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. ก่อนที่สื่อจะสามารถเข้าไปยังพื้นที่รอบกรุงเคียฟได้ เปิดเผยให้เห็นภาพประชาชนชาวยูเครนจำนวนมากที่ถูกสังหารอย่างเลือดเย็นโดยฝีมือของกองทัพรัสเซีย ทั้งนี้ ก่อนหน้าการเยือนของจอห์นสัน อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปได้เดินทางเยือนกรุงเคียฟ ใกล้กันกับเมืองบูชาที่เกิดเหตุสยองขวัญดังกล่าวขึ้น โดยสหภาพยุโรปยังคงยืนยันว่าตนจะอยู่เคียงข้างยูเครนตลอดสงครามนี้
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจัรเดินทางเยือนกรุงเคียฟได้เพียงหนึ่งวัน หลังจากเกิดเหตุรัสเซียยิงขีปนาวุธโจมตีสถานีรถไฟทางตะวันออกของยูเครน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 52 ราย โดย 5 รายในนั้นเป็นเด็ก ทั้งนี้ ทางการของรัสเซียปฏิเสธการโจมตีดังกล่าว และอ้างว่าตนไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ
รัสเซียยังคงเดินหน้าถล่มหลายเมืองทางภาคตะวันออกของยูเครน หลังจากตนได้ถอนทัพออกจากรอบกรุงเคียฟและเมืองทางตอนเหนือ ทั้งนี้ การถอนทัพดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่รัสเซียไม่สามารถเข้ายึดกรุงเคียฟและล้มรัฐบาลจของเซเลนสกีได้ กอปรกับความสูญเสียครั้งใหญ่ของกองทัพรัสเซียที่ยูเครนเปิดเผยว่ามีทหารรัสเซียเสียชีวิตกว่า 24,000 ราย ในขณะที่ทางการรัสเซียยอมรับว่ารัสเซียพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่จริง แต่ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขความสูญเสียจากทางฝั่งรัสเซียแต่อย่างใด
ที่มา: