จากกรณีที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี 10 แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง และผู้ชุมนุม รวม 57 คน หรือคดี army57 ตามกฎหมายอาญามาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น ขัดคำสั่งคสช. และขัดพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ หลังจากกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เคลื่อนขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปยังกองทัพบก เพื่อเรียกร้องให้กองทัพเลิกสนับสนุน คสช. และให้การจัดการตั้งปีนี้
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 เม.ย. ที่สน.นางเลิ้ง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้าร่วมให้การในฐานะพยานของ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง โดย พล.ท.ภราดร ระบุว่า จากข้อกล่าวหาที่ระบุว่า ยุงยงปลุกปั่น ในฐานะที่ตนมีประสบการณ์ด้านความมั่นคง เห็นว่านัยยะของการเคลื่อนไหวนี้ เป็นไปตามกรอบของสิทธิและเสรีภาพ จากกลุ่มที่ตระหนักในสิทธิและเสรีภาพ ไม่ได้มีการปรุงแต่งเนื้อหา จนถือเป็นการยุยงปลุกปั่น แต่เป็นข้อเท็จจริงตามที่นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับสาธารณะทั้งในและนอกประเทศ พวกเขาก็นำคำกล่าวเหล่านี้ของนายกฯมาเรียกร้องให้ปฏิบัติตาม เป็นความปราถนาดี อยากให้นายกฯทำตามสัจจะวาจาที่ให้ไว้ ขณะเดียวกันก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลามจนไปกระทบความน่าเชื่อถือของประเทศชาติ
พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ถ้อยคำที่ผู้ชุมนุมกล่าว และป้ายที่แสดงออก เช่น หมดเวลา คสช. ก็เป็นการอธิบายความเพิ่มเติมว่า ถ้าท่านทำตามสัจจะวาจาที่ให้ไว้ ทุกอย่างก็จะเคลื่อนตัวไปและจบลง หมดเวลาหน้าที่ของคสช.ตามรัฐธรรมนูญแล้ว สาระสำคัญจึงอยู่ตรงนี้ ส่วนที่เป็นขบวนก็เพราะเกิดจากปัจเจกชนที่มีเนื้อหาสาระที่ตรงกันก็มารวมกันตามธรรมชาติของประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องสิทธิ จึงไม่น่าเป็นข้อกังวลอะไร การเคลื่อนก็สันติ ปราศจากอาวุธ สามารถควบคุมได้ ไม่ได้นำไปสู่การกระด้างกระเดื่อง หรือยุยงปลุกปั่น ไม่ถึงกับเป็นภัยคุุกคาม ที่จะส่งผลต่อความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย สำหรับเงื่อนไขการแสดงความเห็น ก็ยังไม่มากพอที่จะลามปามจนนำไปสู่ความไม่เรียบร้อยในอนาคต
"หากผมยังเป็นนเลขาฯสมช.ก็จะแนะนำแบบนี้ ปัญหาบ้านเมืองทุกวันนี้ เกิดจากการขาดศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย ต้องเข้าถึงหลักการของสิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ เพื่อทำให้ปัญหาคลี่คลาย ผมไม่ห่วงผลกระทบ เพราะเป็นข้าราชการบำนาญอยู่แล้ว แต่อยากสื่อสารให้เห็นภาพร่วมกันว่า หากเราศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยแล้ว จะไม่มีทางตัน" อดีตเลขาฯสมช.กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความคืบหน้าในคดีของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งทั้ง 5 คดีมีดังนี้ 1.คดีเอ็มบีเค 39 ที่สกายวอล์ค ผู้ชุมนุมรอฟังคำสั่งจากอัยการ ในวันที่ 19 เม.ย.นี้ ส่วนแกนนำพนักงานสอบสวนกำลังสรุปสำนวนส่งอัยการ
2. คดีอาร์ดีเอ็น 50 ที่ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา อัยการส่งฟ้องผู้ชุมนุมแล้ว โดยศาลมีคำสั่งปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข ส่วนแกนนำยังอยู่ในชั้นสอบสวน โดยวันที่ 11 เม.ย.นี้ พนักงานสอบสวน จะสรุปสำนวนส่งตัวให้อัยการ ที่สำนักงานอัยการ ถ.รัชดาภิเษก
3.คดีซีเอ็มยู 6 ที่จ.เชียงใหม่ ยังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน ยังไม่สรุปสำนวนส่งอัยการ
4.คดีพีทีวาย 7 ที่พัทยา ก็ยังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนเช่นกัน
และ5.คดีอาร์มี 57 แกนนำ 5 คน ขณะที่แกนนำรายอื่น เช่น จ่านิว โรม และอานนท์ จะไปรายรายงานตัววันที่ 30 เม.ย. ที่สน.นางเลิ้ง ส่วนผู้ชุมนุมที่เหลือ ก็จะไปรายงานตัวที่สน.นางเลิ้งวันที่ 18 เม.ย.นี้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง