สำนักข่าว CNN รายงานว่า นายเจมส์ โรบาร์ต ผู้พิพากษาของเขตตะวันออกแห่งมลรัฐวอชิงตันของสหรัฐฯตัดสินอนุญาตให้พลเมืองของบางชาติมุสลิมเดินทางเข้ามาในสหรัฐฯเพื่อเยี่ยมเยียนสมาชิกครอบครัวที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯได้
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีกลุ่มนักเคลื่อนไหว 2 กลุ่มในวอชิงตัน คือ Jewish Family Service และ American Civil Liberties Union ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งการแบนพลเมืองจาก 8 ประเทศมุสลิมและอีก 2 ประเทศ ไม่ให้เดินทางเข้ามายังสหรัฐฯโดยเห็นว่าการไม่ให้พลเมืองของบางชาติมุสลิมเดินทางเข้ามาในสหรัฐฯเพื่อพบกับสมาชิกครอบครัวที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมและไม่สามารถยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม ศาลตัดสินว่าผู้ที่สามารถใช้สิทธิ์เข้ามาในสหรัฐฯได้ ต้องเป็นญาติใกล้ชิด”อย่างแท้จริง” กับพลเมืองอเมริกัน หรือมีความสัมพันธ์กับองค์กรในสหรัฐฯอย่างแท้จริงเท่านั้น โดยในกรณีนี้ ผู้ฟ้องร้องขอให้คู่สมรสและแม่ของคู่สมรสของตนเองมีสิทธิ์เดินทางเข้าสหรัฐฯ
ผู้ลี้ภัย 3 คนผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีการแบนพลเมือง 8 ชาติเข้าสหรัฐฯของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกลุ่มครอบครัวชาวยิว Jewish Family Service ได้ยื่นเรื่องเรียกร้องต่อศาลให้ เป็นชาวอิรัก อียิปต์ และโซมาเลีย และอีกหนึ่งกรณีก็คือชาวโซมาเลีย ที่ได้รับการช่วยเหลือจาก American Civil Liberties Union จนสามารถชนะคดีในชั้นศาลได้เช่นกันการตัดสินดังกล่าวสร้างความยินดีให้กับพลเมืองของกลุ่มประเทศที่ถูกแบนไม่ให้เดินทางเข้ามาหาครอบครัวในสหรัฐฯเป็นอย่างมาก
โดยนายแรบบี วิลล์ เบอร์โควิทซ์ ประธานกลุ่มครอบครัวชาวยิวในนครซีแอทเทิล ของมลรัฐวอชิงตัน หรือ Jewish Family Service กล่าวว่า เขาและสมาชิกชุมชนชาวยิวทุกคนรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกหลังจากที่ได้รับทราบผลการตัดสินจากศาล เพราะหลังจากนี้นอกจากผู้คนจะได้เดินทางมาเยี่ยมเยือนสมาชิกครอบครัวในสหรัฐฯได้แล้ว บรรดาผู้ลี้ภัย ยังมีโอกาสย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยได้อีกด้วย
คำตัดสินครั้งนี้มีขึ้นเพียง 1 วันหลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 9 ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นศาลที่ขึ้นชื่อเรื่องการมีแนวคิดเสรีนิยม ตัดสินว่าคำสั่งแบนพลเมือง 8 ประเทศเข้าสหรัฐฯ ขัดต่อกฎหมายสหพันธรัฐ แต่คำสั่งนี้ยังคงมีผลทางกฎหมาย เนื่องจากศาลสูงสุดสหรัฐฯเพิ่งตัดสินว่าการแบนพลเมือง 8 ประเทศเข้าสหรัฐฯไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
โดยศาลสูงสุดยังเตือนให้ศาลอื่นๆที่มีการฟ้องร้องเรื่องนี้ค้างคาอยู่ ตัดสินคดีให้สอดคล้องกับคำตัดสินศาลสูงสุด อันถือว่าเป็นที่สิ้นสุด แต่ศาลท้องถิ่นและศาลสหพันธรัฐหลายแก่งยังยืนกรานว่าคำสั่งดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย ทำให้การฟ้องร้องจะต้องยืดเยื้อต่อไป เพราะสุดท้ายทุกคดีจะต้องถูกส่งไปยังศาลสูงสุดเพื่อชี้ขาด