ไม่พบผลการค้นหา
นักวิเคราะห์เตือนสหรัฐฯ อย่าเสี่ยงทำสงครามการค้ากับจีน เพราะยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่พร้อมอยู่ข้างจีน พร้อมระบุ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้า-โจมตีผู้นำชาติพันธมิตร เป็นการโดดเดี่ยวสหรัฐฯ

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนร้อยละ 25 คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. และรัฐบาลจีนได้ประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าอีกกว่า 600 รายการที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ในวันที่ 16 มิ.ย. โดยมีมูลค่ารวมกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์เช่นกัน 

นักวิเคราะห์คาดว่าสหรัฐฯ จะออกมาตรการตอบโต้จีนอีกครั้งในไม่ช้า จึงมีแนวโน้มว่าคู่ขัดแย้งทั้งสองประเทศกำลังจะมุ่งหน้าสู่การทำสงครามการค้า ซึ่งหากเริ่มขึ้นแล้วจะจบได้ยาก และจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลก

สื่อสายเศรษฐกิจหลายสำนักในตะวันตกได้รวบรวมความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าจำนวนหนึ่ง ซึ่งเกือบทั้งหมดมองว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่มีผลกระทบกับจีนมากนัก

โลกอาจไม่เข้าข้าง 'สหรัฐอเมริกา' เสมอไป

บลูมเบิร์กเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของ แอนดรูว์ โพล์ก ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของ Trivium China ซึ่งระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจคิดว่ามาตรการขึ้นภาษีจะช่วยควบคุมการนำเข้าสินค้าจากจีนมายังสหรัฐฯ หรือกระทบต่อห่วงโซ่คุณค่าของสินค้าจีน แต่ถือว่า 'คิดผิด' เพราะยังมีอีกหลายแห่งทั่วโลกที่พร้อมจะทำการค้ากับจีน

โพล์กระบุว่าสินค้าที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี รวมถึงเครื่องจักรกล อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก และสารเคมี เพราะไม่ต้องการให้สินค้าจากจีนเข้ามามีส่วนแบ่งหรือบทบาททางการตลาดและอุตสาหกรรมในประเทศ แต่เขากลับเห็นว่าหมวดหมู่สินค้าเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบกับจีนโดยตรง 

คลังสินค้าสหรัฐ-ธุรกิจ-เศรษฐกิจ-การค้า-อุตสาหกรรม-AP

โพล์กเห็นว่า สหรัฐฯ ควรควบคุมหรือจำกัดสินค้าที่จะส่งไปยังจีนมากกว่า โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์หรือสารกึ่งตัวนำที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของการผลิตสินค้าเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์

หากไม่มีวัตถุดิบเหล่านี้ ย่อมจะกระทบต่อกระบวนการผลิตและอุตสาหกรรมของจีนมากกว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน และถึงแม้จีนว่จะนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากยุโรป ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถแทนที่สินค้าจากสหรัฐฯ ได้อย่างเต็มรูปแบบ

สหรัฐฯ โดดเดี่ยวตัวเองจากพันธมิตร

ชาร์ลส์ วอลเลซ ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ด้านสื่อสารมวลชน เผยแพร่บทความในเว็บไซต์ฟอร์บส์ว่า ความตั้งใจของทรัมป์ที่จะถ่วงดุลหรือจำกัดการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ และหลายประเทศพร้อมให้การสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายการประกาศสงครามกับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และการเรียกร้องให้จีนปรับแก้เงื่อนไขการลงทุนที่ระบุว่าบริษััทต่างชาติต้องแบ่งปันทรัพย์สินทางปัญญาให้หุ้นส่วนธุรกิจจากฝั่งจีน

ที่ผ่านมา ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) รวมถึงแคนาดา แสดงท่าทีคัดค้านเงื่อนไขการลงทุนของรัฐบาลจีนเช่นเดียวกับสหรัฐฯ โดยระบุว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบและมัดมือชก แต่วอลเลซชี้ว่า แทนที่ทรัมป์จะร่วมมือกับประเทศเหล่านี้กดดันจีนให้ปรับเปลี่ยนหรือปรับแก้เงื่อนไขให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น เขากลับเลือกที่จะขึ้นภาษีสินค้ากับกลุ่มประเทศพันธมิตรเช่นเดียวกัน

เมื่อถูกประเทศพันธมิตรทักท้วง ทรัมป์ยังแสดงท่าทีเกรี้ยวกราด ทั้งยังทวีตข้อความในเชิงดูหมิ่น จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา และ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศศ ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 ที่แคนาดาเป็นเจ้าภาพเมื่อต้นเดือน มิ.ย.

ท่าทีของทรัมป์จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นการโดดเดี่ยวสหรัฐฯ ในเวทีโลก และอาจทำให้เขาขาดพันธมิตรที่มีความสำคัญในเวทีโลกที่จะคานอำนาจกับจีนในอนาคตได้

ที่มา: Bloomberg/ Forbes/ Market Watch/ Newsweek

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: