นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช) กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้นำนโยบาย “ช็อปช่วยชาติ” กลับมาใช้อีกครั้ง ทั้งๆ ที่เคยยกเลิกไป โดยสื่อมวลชนรวมถึงนักวิชาการได้วิเคราะห์แล้วว่านโยบาย “ช็อปช่วยชาติ” ที่เคยทำมา ไม่ได้ช่วยประชาชนมากนัก แต่ไปช่วยนายทุนเจ้าของห้างสรรพสินค้ามากกว่า เพราะประโยชน์ของโครงการตกกับห้างร้านใหญ่ๆ เท่านั้นซึ่งมีผลประกอบการดีอยู่แล้วไม่จำเป็นที่รัฐบาลต้องเข้าไปช่วย ซึ่งจะทำให้รัฐบาลขาดรายได้จากการหักภาษีไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งน่าจะนำภาษีดังกล่าวไปใช้พัฒนาประเทศเพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคงให้กับประชาชนจะมีประโยชน์มากกว่า หรือ ควรจะนำไปช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมากจนขาดทุนกันถ้วนหน้า
และนโยบายช็อปช่วยชาติครั้งนี้ แปลกประหลาดที่รัฐบาลกำหนดให้ซื้อสินค้าได้เพียง 3 ประเภทเท่านั้น คือ ยางรถยนต์ หนังสือ และ สินค้าโอทอป ซึ่งยิ่งไม่ช่วยอะไรเลย เพราะยางรถยนต์ต้องเปลี่ยนตามระยะเวลาอยู่แล้ว อีกทั้งปริมาณการซื้อยางรถยนต์จะไม่ได้ช่วยให้ราคายางพาราสูงขึ้นแต่อย่างใด และสินค้าโอทอปที่ขายได้จะเป็นสินค้าโอท็อปที่ขึ้นห้างเท่านั้น โดยจะไม่ได้มีการกระจายของรายได้อย่างทั่วถึง การดำเนินการเป็นเหมือนแค่การหาเสียงหรือทำแบบแก้บนที่กระทรวงการคลังอาจจะไม่ได้อยากทำ เพราะทราบว่าไม่เกิดประโยชน์จึงทำแบบเสียไม่ได้
โดยรัฐบาลเพิ่งจะอนุมัติแจกเงินก้อนใหญ่กว่า 80,000 ล้านบาทแล้ว ที่เป็นเหมือนการซื้อเสียง ตามที่นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต. สำนักนายกฯ และ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ออกมาพูดในทำนองว่า คนชนบทสามารถซื้อเสียงได้ จึงดำเนินนโยบายแจกเงินใช่หรือไม่ และยังต้องมาขาดรายได้จากการหักภาษีในนโยบายช็อปช่วยชาติอีก ซึ่งผลของการดำเนินนโยบาย ทั้งการแจกเงินและช็อปช่วยชาตินี้ ไม่ได้สร้างประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ หรือ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศแต่อย่างใด เหมือนเป็นการจ่ายอย่างเสียเปล่า เป็นแค่เครื่องมือหาเสียงเท่านั้น จึงอยากให้รัฐบาลได้พิจารณาให้ดีก่อนออกมาตราการต่อไปและต้องตอบให้ได้ว่า ดำเนินการไปแล้ว ประเทศจะพัฒนาอย่างไร ไม่ใช่ทำเพื่อซื้อความนิยมเท่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง