ไม่พบผลการค้นหา
“Lockdown for the Unvaccinated”

จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลายประเทศในยุโรป จนองค์การอนามัยโลกบอกว่า ยุโรปได้กลับมาเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดอีกครั้ง พร้อมเตือนว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดอาจเพิ่มถึง 500,000 ราย ในช่วงเวลา 3 เดือนต่อจากนี้

ที่สำคัญฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในเดือนธันวาคมนี้เป็นฤดูของการระบาดของไข้หวัดประจำปี เมื่อควบรวมกับสถานการณ์ของโควิด-19 ที่กำลังรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ในยุโรปต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตในการรับมือกับผู้ป่วย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ที่ผ่านมาประเทศในยุโรปต้องเผชิญกับความท้าทายเรื่องวัคซีนมาโดยตลอด แต่เป็นคนละความท้าทายกับประเทศไทยที่รัฐบาลจัดสรรวัคซีนล่าช้าและไม่เพียงพอ กลับกัน ประชาชนในยุโรปสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ง่าย ฟรี มีเพียงพอ แต่คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะยังไม่ฉีดวัคซีน ส่วนหนึ่งเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ท่ามกลางการประท้วงต่อต้านนโยบายบังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีนในหลายประเทศ ไปจนถึงการถกเถียงเรื่องสิทธิและความปลอดภัยของสาธารณะที่ดูเหมือนจะยังไม่มีคำตอบชัดเจน ล่าสุดรัฐบาลหลายประเทศในยุโรปปรับมาตรการเข้มงวดมากขึ้น และหนึ่งในนั้นคือการเพิ่มข้อบังคับแก่ประชาชนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน


REUTERS ตำรวจเวียนนา.JPG

(ตำรวจเดินตรวจตราในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หลังรัฐบาลห้ามประชาชนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนออกจากบ้านยกเว้นกรณีที่จำเป็นเท่านั้น, Reuters)


ออสเตรีย

ออสเตรียเคยเป็นประเทศแรกที่ดำเนินนโยบายล็อกดาวน์ในช่วงที่โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดในยุโรปเมื่อปีที่ผ่านมา

ครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่การนำมาตรการล็อกดาวน์กลับมาใช้อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. บังคับใช้กับประชาชนที่ไม่ฉีดวัคซีนเท่านั้น โดยจำกัดการออกจากบ้าน อนุญาตให้แค่ไปทำงาน หรือซื้อของจำเป็นที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่สามารถเข้าไปนั่งในร้านอาหารและคาเฟ่ รวมทั้งไม่สามารถไปเดินช็อปปิ้งซื้อของที่ถูกจัดให้อยู่ในหมดไม่จำเป็นได้

ประมาณ 65% ของประชากรออสเตรียได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างครบถ้วน เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำที่สุดในยุโรปตะวันตก


เยอรมนี

ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในช่วงจังหวะเวลาที่น่าอึดอัดในเยอรมนี เพราะการเมืองยังอยู่ในภาวะสูญญากาศของการเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (17 พ.ย.) อังเกลา แมร์เคิล ที่รักษาการตำแหน่งผู้นำเยอรมนีอยู่ขณะนี้ แถลงข่าวบอกกับประชาชนว่า การระบาดระลอกที่ 4 นี้ ส่งผลกระทบต่อเยอรมนีอย่างรุนแรง และเรียกร้องให้เร่งอัตราการฉีดวัคซีนแก่คนที่ยังไม่ได้ฉีด ในวันเดียวกันนั้นเยอรมนีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 52,826 ราย เพิ่มขึ้นหนึ่งในสามจากสัปดาห์ก่อน

แมร์เคิลยังประกาศว่า เยอรมนีจะมีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นกับพลเมืองที่ยังไม่ฉีดวัคซีน โดยในภูมิภาคที่มีผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลมากกว่า 3 คนต่อประชากร 100,000 คน เฉพาะผู้ที่ได้รับวัคซีนและผู้ที่หายจากไวรัสแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงสถานที่สาธารณะ เช่น ร้านอาหาร หรือไปดูคอนเสิร์ตได้

ล่าสุด สภาผู้แทนราษฎรของเยอรมนีลงมติสนับสนุนข้อจำกัดใหม่เพื่อควบคุมจำนวนผู้ป่วยโควิดที่เพิ่มขึ้น โดยเสนอให้ประชาชนต้องพิสูจน์ว่าได้รับการฉีดวัคซีน หายจากโรคแล้ว หรือมีผลตรวจเป็นลบ จึงจะสามารถเข้าสถานที่ทำงาน และใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ อย่างไรก็ตามข้อจำกัดนี้ยังต้องรอการอนุมัติจากสภาสูงของเยอรมนี

“เราจะมีคริสต์มาสที่เลวร้ายจริงๆ หากเราไม่ดำเนินมาตรการรับมือในตอนนี้”

ผู้อำนวยการสถาบัน Robert Koch หน่วยงานควบคุมโรคของเยอรมนี กล่าว พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนให้สูงกว่า 75% จาก 67.7% ในปัจจุบัน ขณะที่ในบางภูมิภาคของเยอรมนีมีอัตราการฉีดวัคซีนเพียง 57.6%


Reuters ICU กรีซ.JPG

(ICU ในประเทศกรีซ, Reuters)

กรีซ

คิริอากอส มิตโซไทกิส นายกรัฐมนตรีประเทศกรีซ แถลงข่าวบอกประชาชนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 พ.ย.64) ว่า ตั้งแต่วันจันทร์หน้าเป็นต้นไป คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ภายในอาคารต่างๆ รวมถึงร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ และยิม แม้ว่าจะมีผลตรวจโควิดเป็นลบก็ตาม

จนถึงตอนนี้ กรีซได้รับวัคซีนครบแล้วประมาณ 62% ของประชากรประมาณ 11 ล้านคน

ภายใต้กฎใหม่ ใบรับรองการฉีดวัคซีนของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีจะมีอายุเพียงแค่ 7 เดือนเท่านั้น เพื่อสนับสนุนให้พวกเขาได้รับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ หรือเข็มที่สาม


ฝรั่งเศส: ประเทศเราไม่ต้องล็อกดาวน์

“ประเทศที่ต้องล็อกดาวน์คือประเทศที่ไม่ได้บังคับใช้นโยบายบัตรผ่านสุขภาพ”

ก่อนหน้านี้คนหลายร้อยคนออกมาประท้วงนอกสถานเอกอัครราชทูตออสเตรียในกรุงปารีส แสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรการล็อกดาวน์สำหรับคนที่ไม่ฉีดวัคซีนในออสเตรีย คนจำนวนไม่น้อยกังวลว่าฝรั่งเศสอาจจะมีนโยบายเดียวกัน

ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง กล่าวว่า ฝรั่งเศสไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามประเทศในยุโรปที่บังคับใช้การล็อกดาวน์สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน เนื่องจากความสำเร็จของการใช้ ‘Health Pass’ บัตรผ่านสุขภาพ หรือเอกสารรับรองสุขภาพและการฉีดวัคซีน

ในฝรั่งเศส การไปร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงภาพยนตร์ และขึ้นรถไฟทางไกล รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ประชาชนจะต้องมีหลักฐานยืนยันการฉีดวัคซีน หรือผลตรวจโควิดล่าสุดเป็นลบ

มาครงกล่าวว่า เขายังคงรอคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุข ว่าควรเพิ่มการฉีดวัคซีนเข็มที่สามสำหรับทุกคนหรือไม่ ขณะนี้ฝรั่งเศสฉีดบูสเตอร์ช็อตสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีและผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง

“หากพบว่าการฉีดเข็มสามมีประสิทธิภาพและจำเป็นสำหรับสาธารณชนในวงกว้าง เราจะกำหนดการฉีดวัคซีนเข็มที่สามไว้ในบัตรผ่านสุขภาพด้วย”

ประเทศอย่างสวีเดนกำลังจะบังคับใช้นโยบาย ‘Health Pass’ เช่นเดียวกันกับฝรั่งเศสในเดือนธันวาคมนี้ ในขณะที่ไอร์แลนด์กำลังจะขยายการแสดงเอกสารฉีดวัคซีนในการเข้าชมภาพยนตร์และละครด้วย

ที่ผ่านมา เบลเยียมอนุญาตให้คนที่แสดงบัตรผ่านสุขภาพสามารถถอดหน้ากากอนามัยออกได้ขณะอยู่ในอาคาร และรัฐบาลเบลเยียมกำลังจะกำหนดให้ประชาชนต้องแสดงบัตรผ่านสุขภาพก่อนจะเข้าตลาดนัดเทศกาลคริสมาสต์ งานที่จัดในอาคารกรณีมีคนเข้าร่วมเกิน 50 คน และงานในที่แจ้งกรณีมีคนเข้าร่วมมากกว่า 100 คน