นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เข้าขั้นวิกฤตต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่อากาศแย่ติดอันดับ 1 ของโลกต่อเนื่อง อากาศแย่เกินมาตรฐานองค์การอนามัยโลกหลายเท่า กระทบสุขภาพรุนแรง กระทบการท่องเที่ยว เด็กเลือดกำเดาไหล คนทุกเพศทุกวัยอยู่อย่างน่าเวทนา อเนจอนาถ สุดบรรยาย นี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ารัฐบาลสอบไม่ผ่าน รัฐบาลจะพูดอะไรก็พูดไป แต่นี่คือสภาพชีวิตของชาวบ้านตาดำๆ
นพดล กล่าวต่อว่ารัฐบาลสามารถทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ซึ่งเห็นชัดว่าการทำงานยังไม่สำเร็จในภาวะวิกฤต ชาวบ้านยังเผชิญฝุ่นพิษตามยถากรรม เรื่องฝุ่นข้ามแดนและจุดเผานอกประเทศ ผมเคยเสนอให้ส่งรัฐมนตรีไปคุยกับประเทศเพื่อนบ้านนานแล้ว แต่รัฐบาลพึ่งจัดประชุม 3 ประเทศไปซึ่งช้าเกินไปและน้อยเกินไป วิกฤตขนาดนี้ปล่อยให้การหารือล่าช้าอย่างนี้ได้อย่างไร และต้องตระหนักว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดในการประชุมทางวิดีโอ แต่ต้องไปป้องกันไม่ให้มีการเผาป่า เผาไร่ ในแต่ละประเทศ การกระทำไม่ใช่วาทกรรมคือตัวชี้วัด นอกจากนั้นปัญหาฝุ่นข้ามแดนเกิดมาหลายปีแล้ว ควรจะมีการหารือกันจริงจังมาก่อนหน้าหลายปีแล้ว เวลานี้เป็นเวลาลงมือทำ
นพดล กล่าวต่อว่า การเผาไร่ข้าวโพดที่เป็นเกษตรพันธะสัญญาหรือเกษตกรที่ทำข้อตกลงกับบริษัทผลิตอาหารสัตว์ที่จ้างคนไทยปลูกทั้งในไทยและที่นำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลต้องทำให้เอกชนเหล่านั้นแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 มากขึ้น เพื่อปกป้องชีวิตคนไทย เช่นการจัดหาเครื่องมือเก็บเกี่ยว เครื่องมือขจัดของเหลือหลังเก็บเกี่ยว
"รัฐบาลหน้าต้องทวงคืนอากาศสะอาดให้คนไทย ต้องต่อสู้กับ PM 2.5 ให้ชนะกันไปข้าง ชีวิตพี่น้องคนไทยต้องไม่เป็นไปตามยถากรรมอีกต่อไป ได้เวลาของผู้นำที่ทำจริง ทำเป็น เห็นลมหายใจของคนไทยเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน พรรคเพื่อไทยมีนโยบายแก้ไขปัญหา PM 2.5 และตนเชื่อมั่นว่าถ้าเพื่อไทยมีโอกาสเป็นรัฐบาลจะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้แน่นอน"