ไม่พบผลการค้นหา
สีจิ้นผิง ชี้การใช้พลังงานคาร์บอนฯ ของจีนจะถึงจุดสูงสุดก่อนปี 2573 และตั้งเป้าจะเลิกการใช้คาร์บอนฯ ในอีก 40 ปีข้างหน้า

'สีจิ้นผิง' ประธานาธิบดีจีน เรียกร้องปฏิรูปเศรษฐกิจสีเขียวทั่วโลก หลังจากผ่านเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมทั้งยังกล่าวในเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ว่า จีนจะเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดในระดับชาติตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยจะบังคับใช้นโยบายและนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้น

คำประกาศของจีนในที่ประชุม UN นั้นได้รับการยกย่องจากที่ประชุมฯ ว่าเป็นก้าวที่สำคัญในการต่อสู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีการใช้พลังงานถ่านหิน รวมถึงเป็นตลาดรับซื้อพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้จีนคาดว่า จีนจะปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ สูงสุดก่อนปี 2573 และตั้งเป้าว่า หลังจากนี้ในอีก 40 ปีข้างหน้า หรือปี 2603 ประเทศจีนจะลดการใช้ก๊าซคาร์บอนฯ เหลือ 0

ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก โดยมีอัตราส่วนการปล่อยอยู่ที่ 28% ของการปล่อยกีาซคาร์บอนฯ ทั่วโลก

ทั้งนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา อัตราการปล่อยมลพิษทั่วโลกลดลงถึง 25% และนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมาอัตราการปล่อยมลพิษกลับมาสู่ภาวะปกติอีกครั้ง หลังจากโรงงานต่างๆ กลับมาทำการผลิตเช่นเดิม 

จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ริเริ่มข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2557 สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา แต่เมื่อปี 2560 สหรัฐฯ กลับถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส โดย ปธน.ทรัมป์อ้างว่า ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง

ในช่วงปีที่ผ่านมาทั้งสหรัฐฯ และจีน ต่างเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก โดยในจีนได้เผชิญกับฝนตกหนักและน้ำท่วมครั้งที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี ขณะที่สหรัฐฯ เผชิญหน้ากับหนึ่งในเฮอร์ริเคนที่รุนแรงที่สุดของฤดูกาลพร้อมๆ กับไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดในทางตะวันตกของประเทศ

ที่มา The Guardian / BBC / Reuters

ข่าวที่เกี่ยวข้อง