ไม่พบผลการค้นหา
ผบช.น. ระบุ ผู้ชุมนุมก่อความวุ่นวาย จึงต้องบังคับใช้กฎหมาย ยืนยันไม่ฉีดน้ำ ยิงกระสุนยาง และ ใช้แก๊สน้ำตา ส่วนกรณีพยาบาลอาสาถูกรุมทำร้าย ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. แถลงข่าวเหตุการณ์การชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 64 โดยระบุว่า ขณะเริ่มทำกิจกรรม ได้จัดตั้งจุดคัดกรองโดยรอบ เพื่อตรวจค้นอาวุธสิ่งของที่อาจก่อให้เกิดอันตราย และประกาศให้ทราบเป็นระยะว่าการชุมนุมนี้ เป็นการกระทำผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ

ทั้งนี้ มีผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 1,000 คนทำกิจกรรมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และต่อมาได้มีการปิดการจราจร ไม่สามารถสัญจรได้ และทำกิจกรรมต่อเนื่องไปจนถึง 18.00 น.จึงชักชวนกันให้เดินทางไปที่ศาลหลักเมือง ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องมีความจำเป็นในการตั้งแนวเพื่อกำหนดอาณาเขตให้ทราบ เมื่อเดินทางมาถึงก็มีคนในกลุ่มผู้ชุมนุม ขว้างปาสิ่งของ ก้อนหิน ขวดน้ำ วัตถุระเบิดแรงดันต่ำ ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บรวม 23 นาย 

ภายหลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุม ได้มีกลุ่มบุคคลบางส่วนอยู่ชุมนุมต่อ รวมทั้งก่อความวุ่นวายขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ ซึ่งได้แจ้งเตือนให้แยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะต้องเปิดการจราจรและรักษาความสงบเรียบร้อย แต่กลุ่มผู้ก่อเหตุวุ่นวายก็ยังคงชุมนุมต่อจนครบเวลา 30 นาที เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องใช้กำลังผลักดันออก เพื่อเปิดเส้นทางจราจร พร้อมยืนยันว่า ไม่มีการฉีดน้ำ ใช้แก๊สน้ำตาหรือกระสุนยางแต่อย่างใด แม้ในเวลาดังกล่าวจะมีความพร้อมใช้แก๊สน้ำตาก็ตาม

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการควบคุมตัวทั้งหมด 11 ราย สอบสวนพบว่ามี 3 รายไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ก่อความวุ่นวาย แต่มีลักษณะเมาสุรา จึงทำการเปรียบเทียบปรับและปล่อยตัว ส่วน 8 ราย ควบคุมตัวไปที่ บก.ตชด. ภาค 1 ปทุมธานี เพื่อดำเนินคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.โรคติดต่อ ข้อหาร่วมชุมนุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ขัดคำสั่งเจ้าหน้าที่ ร่วมกันทำร้ายเจ้าหน้าที่ ซึ่งทั้ง 8 ราย คือกลุ่มบุคคลที่ก่อความวุ่นวายต่อหลังจากยุติการชุมนุม โดยหลายคนมีประวัติเรื่องยาเสพติด

ส่วนเหตุปะทะที่มีการยิงกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. นางเลิ้ง ได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกัน บริเวณร้าน 7-11 สาขาผ่านฟ้า เมื่อเวลา 21.00 น.เศษ เมื่อเดินทางไปถึง พบกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมที่อ้างตัวว่าเป็นการ์ด แจ้งว่าคนยิงหลบอยู่ในร้าน 7-11 จึงเข้าไปตรวจสอบ และนำตัวไป สน.นางเลิ้ง อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพยานบุคคล กล้องวงจรปิด และพยานหลักฐานอื่น ยืนยันได้ว่าบุคคลดังกล่าว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยิงปืนในครั้งนี้ แต่ก็ได้มีการตรวจสอบคราบเขม่าดินปืน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผล ส่วนคนที่ก่อเหตุยิง อยู่ระหว่างการติดตามตัว

กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปืนที่ สน.นางเลิ้ง พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวว่า เนื่องจากมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อระงับเหตุ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีการทำร้ายและควบคุมตัวพยาบาลอาสา พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าบุคคลนี้ไม่ได้มีอาชีพพยาบาล เป็นบุคคลที่อยู่ในที่ชุมนุม หากเป็นหน่วยอาสาจะต้องตรวจสอบต่อไป แต่ยืนยันว่าอยู่ในกลุ่มที่ร่วมก่อความวุ่นวาย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมเพิ่มเติมหลังการพิสูจน์ทราบ กรณีรื้อถอนกระถางต้นไม้โดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และการนำผ้าแดงขึ้นคลุมบนอนุสาวรีย์ พร้อมฝากถึงการชุมนุมในวันที่ 20 ก.พ. นี้ว่า ความรุนแรงอยู่ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นหลัก เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศแจ้งเตือนให้ออกจากพื้นที่ ก็ขอให้ออก หากมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เจ้าหน้าที่ก็มีความจำเป็นต้องปฏิบัติการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย

อรุณี กาสยานนท์ โฆษกเพื่อไทย

"โฆษกเพื่อไทย” จี้รัฐเคารพหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานหลังทีมแพทย์ถูกกระทำรุนแรงขณะม็อบชุมนุม​ ตำรวจต้องอดกลั้นต่อสถานการณ์ที่ตรึงเครียดให้ได้

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกเพื่อไทย กล่าวถึง การชุมนุมกลุ่มคณะราษฎรเมื่อค่ำวานนี้ (13ก.พ.) กรณีที่มีทีมแพทย์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้าย ตามหลักสากลทีมแพทย์ถือเป็นสัญญาลักษณ์ของมนุษยธรรม ต้องได้รับความเคารพและคุ้มครองจากภาคีคู่พิพาทเสมอ เจ้าหน้าที่รัฐควรตระหนักและใช้ความพยายามอดทนอดกลั้นในสถานการณ์ที่มีความตึงเครียด และอาจถูกยั่วยุจากกลุ่มที่ไม่หวังดี ถึงเจ้าหน้าที่รัฐจะมีความเคลือบแคลงสงสัยต่อผู้ชุมนุมบางคนหรือทีมแพทย์อาสา เพราะการใช้ควรรุนแรงไม่เคยแก้ไขปัญหาใดๆ 

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่ออีกว่า อยากเรียกร้องให้รัฐหยุดใช้ความความรุนแรงในทุกรูปแบบต่อประชาชน และยึดหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานตามหลักสากลและควรมีขันติ​ แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว ทั้งที่รัฐน่าจะคาดการณ์สถานการณ์ได้ล่วงหน้า แต่ยังคงใช้วิธีเดิมๆ โดยรัฐลืมมองไปว่าท่าทีที่ผ่านมาของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐสร้างความหวาดระแวงให้ประชาชนมาตลอดด้วยการใช้กฎหมาย ทั้งการข่มขู่คุกคามทุกรูปแบบ มาเป็นครื่องมือเล่นงานประชาชน จึงไม่น่าแปลกใจ ที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้รับการยอมรับทั้งในสายตาประชาชนและนานาชาติในเรื่องหลักสิทธิมนุษยชนสากล.