สำนักข่าว CNN รายงานอ้างอิงแหล่งข่าววงใน ระบุว่า ไดแอน กรีน CEO ของ Google Cloud กล่าวกับพนักงานในบริษัทกูเกิลว่า ภารกิจการทำงานร่วมกับกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ หรือ เพนทากอน ภายใต้โครงการรักษาความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘มาเวน’ จะยังคงดำเนินต่อไปตามแผนเดิมจนกระทั่งเดือนมีนาคม 2019 เท่านั้น
โครงการมาเวนคือโครงการที่นำเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ เข้ามาใช้พัฒนาโดรนคุณภาพสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อจุดประสงค์หลักในการใช้ตรวจตรารักษาความปลอดภัยที่ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2018 ที่ผ่านมา โดยมีหลักในการทำงานง่ายๆ ก็คือการที่กูเกิลจะช่วยพัฒนาโดรนของเพนทากอนด้วยเทคโนโลยี Image Classification หรือการแยกแยะสิ่งของต่างๆ จากการถ่ายภาพด้วยโดรน เช่น การระบุว่าสิ่งนี้คืออาคาร สิ่งนี้คือรถเข็น และสิ่งนี้คือรถยนต์ เป็นต้น
ความคืบหน้าล่าสุดชี้ว่า ภายหลังจากการหมดสัญญาลงในช่วงเดือนมีนาคม 2019 บริษัทกูเกิลจะไม่ขอต่อสัญญาเพื่อทำงานให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯอีกต่อไปเนื่องจากต้องทนกับแรงกดดันจากสาธารณะและพนักงานของบริษัทอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่มีพนักงานของกูเกิลหลายคนลาออกจากการเป็นส่วนหนังของการพัฒนาเทคโนโลยีให้กับเพนทากอนไปเรียบร้อยแล้ว
โครงการดังกล่าวเรียกเสียงวิจารณ์อย่างหนักทั้งในด้านของการขัดต่อจริยธรรม และใช้สิทธิทางการทหารสอดส่องประชาชน ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างสงครามได้ในอนาคต เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั้นจะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากน้อยเพียงใดในวงการทหาร เพราะไม่แน่ว่าในอนาคตการโจมตีด้วยโดรนอาจถูกสั่งการโดยหุ่นยนต์เอไอก็เป็นได้ ซึ่งถือเป็นก้าวที่เสี่ยงอย่างมากของการร่วมมือกันระหว่างบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลกกับกองทัพสหรัฐฯ
นอกจากนี้การที่กูเกิลร่วมมือกับเพนทากอนนั้น ได้ส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกภายในองค์กรอย่างรุนแรง พร้อมยังทำให้พนักงานราว 4,000 คนลงนามยื่นหนังสือเรียกร้องผ่านจดหมายเปิดผนึกให้ทางบริษัทกูเกิลและเพนทากอนห้ามกระทำการใดๆร่วมกันที่เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการทำลายล้างอันจะนำไปสู่การก่อให้เกิดสงครามเป็นอันขาด และขอให้กูเกิลยกเลิกสัญญาดังกล่าวโดยเร็ว โดยพนักงานจำนวนมากเล็งเห็นว่าการร่วมมือกับเพนทากอนนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะนำเทคโนโลยีที่พวกเขาผลิตขึ้นมาไปใช้ในทางที่ผิด
ในด้านของรายได้ ผู้สื่อข่าวของเว็บไซต์ Gizmodo สื่อแรกที่นำเสนอข่าวนี้ชี้ว่าสัญญาครั้งนี้มีมูลค่าน้อยนิดเมื่อเทียบกับรายได้หลักจากการให้บริการปกติของกูเกิล เพราะมีการคาดการณ์ว่ากูเกิลน่าจะได้รับค่าจ้างจากเพนทากอนเป็นเงินประมาณ 15 ล้านดอลลาร์ หรือราว 480 ล้านบาทเท่านั้น แต่แหล่งข่าวเชื่อว่าเม็ดเงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กูเกิลตอบตกลงร่วมงานกับเพนทากอน แต่เป็นโอกาสที่จะได้ร่วมงานในโปรเจคที่ใหญ่กว่าในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากูเกิลต้องการจะไม่ต่อสัญญากับกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เมื่อสัญญาหมดลงตามกำหนดยังมีอีกหลายบริษัทเทคโนโลยีที่คอยจ้องที่จะเข้ามาแทนที่กูเกิลและร่วมพัฒนาเทคโนโลยีโดรนจับตาให้กับเพนทากอน ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการควบคุมว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำไปใช้อย่างไร และจะเป็นภัยต่อมนุษย์หรือไม่ต่างหาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: