วันที่ 25 ต.ค. 2566 สมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย กิตติกร โล่ห์สุนทร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง วิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. โดยมี ภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เอกชัย เกษมสุขธวัช ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. ผู้อำนวยการ ป.ป.ท.ทุกภาค และผู้บริหาร ป.ป.ท. ให้การต้อนรับ และร่วมประชุมถึงแนวทางการขับเคลื่อนงาน
โดย ภูมิวิศาล กล่าวรายงานว่า ป.ป.ท.มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตในภาครัฐ ซึ่ง ป.ป.ท.ได้ก่อตั้งมาแล้วกว่า 15 ปี แต่เวลานี้ยังพบปัญหาจำนวนมาก ทั้งเรื่องสถานที่ทำงาน ที่ยังต้องเช่ามาตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึงบุคลากรที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งป.ป.ท.มีบุคลากรทั่วประเทศ เพียง 579 คน จึงอยากขอเพิ่มอีก 200 อัตรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยในประเด็นนี้ต้องขอให้รองนายกรัฐมนตรี ช่วยพิจารณานำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป แต่ถึงแม้ ป.ป.ท.จะมีปัญหาในเรื่องกำลังคนไม่เพียงพอ แต่ก็ยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชั่น ซึ่งเราก็ได้เดินหน้ามาโดยตลอด จนสามารถจับกุมเจ้าพนักงาน ที่มีการเรียกเก็บเงินต่อผู้ประกอบการได้จำนวนมาก
ภูมิวิศาล กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ป.ป.ท. ยังได้มีการพูดคุยกับภาคธุรกิจ และสภาหอการค้าฯกว่า 30 แห่ง เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาทุจริต หลังพบว่า มีข้าราชการบางกลุ่ม เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการ ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการ ไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ รวมถึง ป.ป.ท.ได้มีการตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนจากนักธุรกิจต่างชาติด้วย เพราะเราตรวจสอบพบว่า นักธุรกิจต่างชาติ มักถูกเรียกรับผลประโยชน์ในการขออนุญาตต่างๆ ในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย นอกจากนี้ ตนมองว่า ป.ป.ท. มีความจำเป็นที่ต้องทำกฎหมายเพิ่มเติม ในเรื่องของประพฤติมิชอบ เพื่อจะได้ช่วยทำการยับยั้งก่อนที่จะมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หรือ ปล่อยปะละเลย
ขณะที่ สมศักดิ์ กล่าวว่า การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ถือเป็นหนึ่งนโยบายสำคัญของรัฐบาลนี้ ซึ่งตนก็อยากให้ ป.ป.ท. มุ่งมั่นทำงานให้กับสังคม เพื่อทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้น โดยตนมองว่า งานไหนจะสำเร็จได้ ต้องมีความรวดเร็ว และวางแผนที่ดี ซึ่งตนขอเน้นย้ำว่า อย่าให้มีการดองเรื่อง เพราะไม่อย่างนั้น จะเกิดการค้างคา และสุดท้ายเราจะตอบสังคมไม่ได้เมื่อถูกทวงถาม ส่วนการเสนอแก้กฎหมายนั้น ตนเห็นด้วย และขอสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะกฎหมายใดที่เก่าล้าสมัย ก็ต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง โดยหากเสนอมา ตนก็พร้อมสนับสนุน เพราะมองว่า เป็นประโยชน์ เนื่องจากทำกฎหมายให้สังคม ไม่ได้แก้กฎหมายให้กับตัวเราเอง ซึ่งขณะตนดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ก็สามารถแก้กฎหมายได้กว่า 9 ฉบับ เพราะยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ดังนั้น ถ้าจะแก้กฎหมาย เพื่อประชาชน ตนก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่