ไม่พบผลการค้นหา
พรรคเพื่อไทย ชำแหละรัฐบาล คสช. ล้มเหลวปราบปรามทุจริตยกหลายโครงการส่อทุจริตเรื่องเงียบ ชี้ไม่เหมาะสมต่ออายุให้ ป.ป.ช. ขัด รธน. จี้อายัดนาฬิกาหรู 'ประวิตร'

แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย พลตำรวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวความล้มเหลวของรัฐบาล คสช.ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยสรุปข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับการทุจริต โดยเฉพาะโครงการขุดลอกคูคลองทั่วประเทศขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ซึ่ง คสช.ได้ให้ อผศ.ได้สิทธิพิเศษรับจ้างขุดลอกคูคลองทั่วประเทศ ทั้งที่ อผศ.ไม่มีหน้าที่ในเรื่องนี้โดยตรง อีกทั้งมีการจ้างช่วงบริษัทเอกชน และมีข้อร้องเรียนว่ามีการกินหัวคิวกัน จนเกิดความเสียหายในการใช้งบประมาณจำนวนมาก มีการร้องไปยังนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการ ป.ป.ช.จนเป็นข่าวครึกโครม แต่เรื่องก็เงียบหายไป  

ส่วนโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน มีข้อร้องเรียนจากประชาชนในหลายจังหวัดว่ามีการทุจริตในหลายขั้นตอน โดยเฉพาะการจัดซื้อพันธุ์ข้าว พันธุ์ปลา อาหารสัตว์ ปุ๋ย เครื่องพ่นยาเคมี รวมถึงอุปกรณ์การเกษตรอื่นที่มีราคาสูงกว่าราคาจริงในท้องตลาดมาก และมีการผูกขาดตัดตอนในสินค้าบางอย่าง เช่น ปุ๋ยหมักอินทรีย์ แต่กลับปล่อยให้มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและได้มีการร้องเรียนไปยัง ป.ป.ท.และ ส.ต.ง.เพื่อตรวจสอบแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า 

โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 ซึ่งพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก ทาง กองทัพบกได้จัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 จำนวน 474 เครื่อง รวม 419 ล้านบาท แต่เครื่องมือดังกล่าวกลับไม่มีประสิทธิภาพ เรื่องนี้ได้มีการร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบมาตั้งแต่มีการพิสูจน์การใช้งานของเครื่องว่าใช้งานไม่ได้แล้ว จนต่อมาศาลอังกฤษมีคำพิพากษา แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ไม่มีความคืบหน้าในการตรวจสอบ 

กรณีเครือญาติของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำเงินหลวงฝากในบัญชีตนเองและใช้สถานที่ของกองทัพประกอบธุรกิจ โดยพลเอกปรีชา จันทร์โอชา น้องชายของนายกรัฐมนตรี ได้นำเงินหลวงของกองทัพภาคที่ 3 ไปฝากเข้าบัญชีของภริยาตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดทั้งทางวินัยและอาญา รวมถึงกรณีที่บุตรชายของพลเอกปรีชา ได้ใช้สถานที่ภายในกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นสถานที่ราชการเป็นที่ทำการของบริษัทตนเองและรับเหมางานที่เป็นคู่สัญญากับกองทัพภาคที่ 3 ด้วย ดังนั้น รัฐบาล กระทรวงกลาโหมและคณะกรรมการ ป.ป.ช.ควรตรวจสอบอย่างจริงจัง

กรณียกป่ารอยต่อชุมชน ห้วยเม็กให้บริษัทกระทิงแดงเช่า โดยพลเอกอนุพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามเห็นชอบให้ บริษัทกระทิงแดง สร้างโรงงานในพื้นที่ป่าชุมชน อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น พฤติการณ์ส่อว่ามีการเอื้อประโยชน์ ทั้งที่ประชาชนไม่เห็นด้วย แต่กลับใช้ผลประชาพิจารณ์ที่ไม่ตรงประเด็นมาพิจารณา และมีการสร้างโรงงานรุกล้ำปิดทางสาธารณะ

พรรคเพื่อไทย ระบุว่า เรื่องนาฬิกาหรูของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ไม่พบว่ามีการระบุในรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิด กรณีที่เกิดขึ้นหากพบว่าพลเอกประวิตร เป็นเจ้าของนาฬิกา ปัญหาที่ต้องพิจารณาก็จะมีในเรื่องของการไม่แจ้งในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเงินที่ได้มาจากการซื้อนาฬิกาดังกล่าวมาจากไหน หรือถ้าเป็นเรื่องของการที่เพื่อนให้ยืมตามที่ พลเอกประวิตร ให้สัมภาษณ์ กรณีก็อาจเข้าข่ายเป็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด อันเป็นความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช.ทั้งสองกรณี 

โดยกรณีที่อ้างว่า นาฬิกาเพื่อนให้ยืมและได้คืนไปหมดแล้วนั้น ก็ควรต้องไปตรวจสอบว่านาฬิกาแต่ละเรือนเป็นของเพื่อนคนใด และเพื่อนคนนั้นได้ซื้อมาจากที่ใด มีหลักฐานการซื้อขายหรือการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่จะตรวจสอบ อีกทั้ง เรื่องนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทำงานล่าช้าไปหนึ่งก้าว เพราะเมื่อมีข้อเท็จจริงเรื่องนี้และมีการร้องขอให้ตรวจสอบ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ควรใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งยึดหรืออายัดนาฬิกาดังกล่าวเพื่อตรวจสอบจะได้เกิดความชัดเจน 

 พรรคเพื่อไทย ยังเห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่มีความชอบธรรมในการทำหน้าที่ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ สูงกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 เมื่อพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการป.ป.ช. ชุดปัจจุบัน พบว่า ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามถึง 7 คน จึงไม่อาจที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการป.ป.ช.ได้ตามรัฐธรรมนูญ การที่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบวาระทั้งที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ อาจมองได้ว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มาจากแม่น้ำสายเดียวกันร่วมมือกันใช้เทคนิคทางกฎ��มายเพื่อให้คนในกลุ่มของพวกตนได้ดำรงตำแหน่งต่อไป จึงเห็นว่าเมื่อกรรมการ ป.ป.ช.ที่ขาดคุณสมบติ และกรรมการส่วนใหญ่ได้รับการสรรหาในยุค คสช. บางคนมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในคสช. จึงไม่มีความชอบธรรมที่กรรมการ ป.ป.ช. เหล่านั้น จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป

ด้าน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุถึงกรณีพลตำรวจเอกวัชรพล ประสานราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ถอนตัวจากการพิจารณาการตรวจสอบแหวนเพชรและนาฬิกาหรู เพราะมีความสนิทสนมกัน ว่าเรื่องนี้ตนไม่รู้เรื่อง