ไม่พบผลการค้นหา
"พิชัย" พา "ธีระชัย" เป็นพยานเข้าพบ บก. ปอท. 11 มี.ค. นี้ ชี้ได้โอกาสอธิบาย "กบต้ม" แนะเร่งแก้ปัญหาการกักตุนหน้ากากก่อนรัฐบาลพัง

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) มีหนังสือขอให้ตนนำพยานเข้าให้ข้อมูลในคดี "ทฤษฎีกบต้ม" นั้น ในวันที่ 11 มี.ค. 2563 เวลา 13:00 น. ตน พร้อมด้วย นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความ และนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย จะนำพยานคนแรกคือ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าพบและให้ข้อมูลกับ เจ้าหน้าที่ บก.ปอท. ที่ บก.ปอท. ที่ศูนย์ราชการ โดยได้นัดหมายไว้แล้ว

ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวว่า ถือเป็นโอกาสดีที่ตนจะได้พานายธีระชัย เข้าชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ใน บก.ปอท. ให้ทราบถึงสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ย่ำแย่จากการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลมาตลอด 5 ปี จนประเทศอยู่ในสภาวะกบต้ม ตามที่ตนได้เคยเตือนล่วงหน้าไว้หลายปีแล้ว แต่รัฐบาลไม่ยอมรับฟังและไม่ยอมแก้ไขจึงทำให้ประชาชนลำบากกันอย่างมากในปัจจุบัน

นอกจากปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่แล้ว แทนที่รัฐบาลจะมาหาเรื่องกับตนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแล้ว ตนอยากให้รัฐบาลได้เร่งสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ทำให้ประชาชนมั่นใจได้เลย การรับมือกับวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 เป็นเป็นอย่างสับสนและย่ำแยแม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างเรื่อง การจัดการหน้ากากอนามัย และ เรื่องผีน้อย รัฐบาลก็ยังสอบตกในสายตาประชาชน ซึ่งทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้

อีกทั้งรัฐบาลยังประสบปัญหาวิกฤตศรัทธาอย่างมาก จากการที่เพจดังแฉและประชาชนก็เชื่อแล้วว่าคนของรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัยเพื่อส่งไปขายในประเทศจีนและทำกำไรกันอย่างมหาศาล ในขณะที่หน้ากากอนามัยในประเทศขาดแคลนอย่างหนัก ถึงขนาดที่แพทย์และพยาบาลยังมีไม่พอใช้ ต้องขอรับบริจาคจากประชาชน แต่คนในรัฐบาลกลับกักตุนและนำส่งไปขายต่างประเทศ สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนอย่างรุนแรงในวงกว้าง

แม้รัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจะออกมาชี้แจงแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่ประชาชนอาจจะไม่เชื่อถือแล้ว ทั้งนี้เพราะรัฐมนตรีคนเดียวกันนี้ได้ชี้แจงในสภาว่ายาเสพติดเป็นเพียงแป้งมัน และ เคยถูกตัดสินจำคุกในต่างประเทศแต่บอกว่าไม่เคยถูกจำคุก จนมีเอกสารของศาลของประเทศออสเตรเลียมายืนยันในสภา ทำให้เครดิตและความน่าเชื่อถือไม่มีเหลือแล้ว ซึ่งส่งผลกระทบไปยัง นายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้แต่งตั้งด้วย ขนาด ส.ส. ปากกล้าที่ปกติปกป้องรัฐบาลอย่างเต็มที่ยังถึงกับเอ่ยปากขับไล่ให้ลาออกกันแล้ว ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งจัดการเรื่องดังกล่าวโดยทันที ก่อนที่จะลามทำให้พังกันหมดทั้งรัฐบาล เพราะเรื่องนี้อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ประชาชนจะไม่ยอมทนกันต่อไปอีกแล้วก็เป็นได้