คริสติยง เอโทรซี นายกเทศมนตรีเมืองนีซ ทางใต้ของฝรั่งเศส แถลงยืนยันว่า การก่อเหตุสังหารและทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นบริเวณโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งบนถนนฌองเมเดแซง ย่านชอปปิงของเมิืองนีซ เมื่อเวลาประมาณ 09.10 น.วันที่ 29 ต.ค.2563 ตามเวลาท้องถิ่น โดยผู้เสียชีวิต 1 รายถูกตัดศีรษะ ส่วนอีก 2 รายเสียชีวิตจากอาวุธมีคม และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายราย แต่ตำรวจในท้องที่ได้ยิงสกัดผู้ก่อเหตุและควบคุมตัวเอาไว้ได้
หลังจากนั้น ตำรวจได้สั่งปิดล้อมพื้นที่รอบโบสถ์ที่เกิดเหตุ เปิดทางให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานปฏิบัติหน้าที่ โดยพบผู้เสียชีวิตในโบสถ์ 2 ราย และอีก 1 รายเสียชีวิตในบาร์ฝั่งตรงข้ามหลังจากที่พยายามหลบหนีจากโบสถ์ไปหลบภัย
ส่วนชายผู้ก่อเหตุได้ร้องตะโกนประโยคสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลามหลายครั้งแม้่ในช่วงที่ถูกควบคุมตัว ทำให้มีการระดมกำลังตำรวจหน่วยปราบปรามก่อการร้ายเข้าสอบสวนคดีร่วมกัน
นอกจากนี้ นายกเทศมนตรีเอโทรซียังกล่าวด้วยว่า การก่อเหตุใช้วิธีการแบบเดียวกับคดีฆาตกรรมด้วยการตัดศีรษะ 'ซามูแอล ปาตี' ครูของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ย่านชานกรุงฝรั่งเศส เมื่อกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยชนวนเหตุที่ผู้ก่อเหตุอ้างในครั้งนั้น เป็นเพราะไม่พอใจที่ปาตีแสดงภาพล้อเลียนศาสดาโมฮัมหมัดให้นักเรียนจำนวนหนึ่งดูในชั้นเรียนว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ
องค์กรชาวมุสลิมในฝรั่งเศสที่ต่อต้านการใช้ความรุนแรง French Council for the Muslim Faith แถลงประณามการก่อเหตุรุนแรงในโบสถ์ที่เมืองนีซ พร้อมเรียกร้องให้ชาวมุสลิมในฝรั่งเศสยกเลิกการเฉลิมฉลองเนื่องในวันเมาลิด วันสำคัญทางศาสนาอิสลาม ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 28-29 ต.ค. และขอให้ชาวมุสลิมรำลึกถึงผู้เสียชีวิตแทน
ส่วนมัตเตโอ บรูนี โฆษกสำนักวาติกัน แห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก แถลงว่า การใช้ความรุนแรงและก่อการร้ายเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ และสมเด็จพระสันตะปาปา หรือโป๊ปฟรานซิส ประมุขคริสตจักร รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้น และได้ประกอบพิธีไว้อาลัยเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้
ขณะที่ฌอง-ลุก เมลองชง ผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศส France Insoumise ทวีตข้อความไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงที่เมืองนีซ เช่นเดียวกับแอนน์ อิดัลโก นายกเทศมนตรีกรุงปารีส แถลงจุดยืนเคียงข้างครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงให้กำลังใจนายกเทศมนตรีเอโทรซี
อย่างไรก็ตาม มารีน เลอเปน แกนนำฝ่ายขวาในแวดวงการเมืองฝรั่งเศส มีท่าทีสนับสนุนให้ใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อรับมือกับการใช้ความรุนแรงและการก่อการร้าย แต่ถ้อยคำที่ใช้พาดพิงถึงกลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน โดยมีการเรียกร้องให้ฝรั่งเศส 'กำจัดอิสลามนิยมไปจากแผ่นดินของเรา' อีกด้วย
วันเดียวกับที่เกิดเหตุฆ่าตัดศีรษะที่โบสถ์ในเมืองนีซ มีชายคนหนึ่งก่อเหตุโจมตีผู้คนบนท้องถนนในเมืองอาวีญงด้วยเช่นกัน แต่ชายคนดังกล่าวถูกตำรวจยิงเสียชีวิต ส่วนรัฐบาลซาอุดีอาระเบียระบุว่า มีการโจมตีสถานทูตฝรั่งเศสในซาอุดีอาระเบีย แต่ไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บร้ายแรง
ทางด้าน เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ระบุว่าจะเดินทางไปยังเมืองนีซเพื่อสำรวจสถานการณ์และเข้าเยี่ยมผู้ได้รับผลกระทบ แต่เขาเองก็ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักตั้งแต่ออกมารับมือกับเกิดเหตุฆ่าตัดศีรษะ 'ซามูแอล ปาตี' ซึ่งตอนนั้นมาครงกล่าวว่า ฝรั่งเศสยืนยันในหลักการเป็นกลางทางศาสนา ในฐานะที่ฝรั่งเศสเป็นรัฐโลกวิสัย (secular state) ไม่ได้สนับสนุนหรือต่อต้านศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
ด้วยเหตุดังกล่าว เขายืนยันว่าการแสดงภาพล้อเลียนศาสดาโมฮัมหมัดในชั้นเรียนของครูปาตีเป็นสิทธิที่กระทำได้ของพลเมืองฝรั่งเศส พร้อมระบุว่าจะดำเนินการตรวจสอบสถาบันหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามว่ามีการเผยแพร่หรือส่งเสริมกลุ่มมุสลิมสุดโต่งที่ก่อเหตุการณ์ความรุนแรงโดยอ้างหลักศาสนาหรือไม่
ผู้สนับสนุนแนวคิดอนุรักษนิยมและชาตินิยมฝ่ายขวาจัดในฝรั่งเศสมองว่าท่าทีดังกล่าวของมาครงนั้น 'เบาเกินไป' และมีการเรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศสใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการจับกุมและกวาดล้างกลุ่มผู้มีแนวคิดสุดโต่ง แต่ผู้มีแนวคิดเสรีนิยมมองว่าการใช้วิธีการปราบปรามจะยิ่งทำให้มีการตอบโต้รุนแรงตามมามากยิ่งขึ้น
ขณะที่ผู้นำของกลุ่มประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นหลักต่างออกมาตอบโต้มาครง ไม่ว่าจะเป็น บังกลาเทศ คูเวต จอร์แดน โดยระบุว่ามาตรการของฝรั่งเศสที่สั่งตรวจสอบมัสยิดและสอบปากคำผู้ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนแนวคิดสุดโต่งโดยอ้างหลักศาสนาอิสลามเป็นการเลือกปฏิบัติ และผูกโยงความรุนแรงกับชาวมุสลิมอย่างไม่เป็นธรรม
เรเจป ทายยิป เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี ประกาศคว่ำบาตรสินค้าจากฝรั่งเศส พร้อมเรียกร้องให้ประเทศที่มีผู้นำมุสลิมรายอื่นๆ ออกมาต่อต้านฝรั่งเศสเช่นกัน ทำให้มาครงถูกวิจารณ์จากขั้วการเมืองและภาคประชาสังคมในประเทศว่าการประกาศมาตรการส่งผลกระทบทางการทูต
ที่มา: Aljazeera/ BBC/ The New York Times/ Reuters