พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปิดแผลใหญ่ด้วยการเบี่ยงประเด็นว่า “ไม่ทันใจท่านหรอก ไม่ทันใจที่ท่านจะเปลี่ยนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราได้ ไม่ทันใจหรอก ถ้าท่านจะรื้อทั้งหมด รื้อระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งหมด ยังทำไม่ได้ทั้งหมดตอนนี้หรอก”
“ส.ส.ศิริกัญญา” สวนกลับทันทีว่า "สิ่งที่อยากให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพราะไม่ทันใจประชาชน คือตัวนายกฯ แต่แทนที่จะตระหนัก กลับดึงเอาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง
ท่านควรต้องปรับทัศนคติที่คิดว่า คนที่เห็นต่างจากท่านคือพวกชังชาติ เป็นพวกไม่หวังดี เลิกป้ายสีว่าเป็นพวกคิดร้ายต่อสถาบันหลักของชาติ
สิ่งที่ประชาชนรอการเปลี่ยนแปลงมาตลอด 6 ปี แต่ไม่ทันใจจริงๆ คือตัวนายกรัฐมนตรี แต่เราจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ท่านควร ยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน”
#ศิริกัญญามาแน่ โจมตีไปยังการใช้สถาบันหลักของชาติกลบเกลื่อนการบริหารประเทศ ที่ผิดพลาด-บกพร่อง-ด้อยประสิทธิภาพ
พร้อมหงายไพ่ “ยุบสภา” อันเป็นข้อเสนอที่ทำให้คนการเมืองสะดุ้งเสมอ เมื่อถูกโยนสู่พื้นที่สาธารณะ
ลำพัง วันก่อน “รองนายกฯ สมคิด” แตะประเด็น “ยุบสภา” เพื่อแสวงหา “รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ” มาแก้วิกฤติ โดยยกกรณีสิงคโปร์ เป็นตัวอย่าง ก็ทำเอาคนการเมืองออกมาด่าทอ “สมคิด” กันต่อเนื่อง
คนการเมืองกลัวที่สุดคือ “ยุบสภา” เพราะในการเลือกตั้งหนึ่งครั้ง ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลในการทำพื้นที่-ดูแลพี่น้องประชาชนให้ทั่วถึง
เป็นที่มาของสำนวน “ถอนทุนคืน” หรือการดึงทรัพยากรกลับไปไว้ในกระเป๋าตัวเองให้มากที่สุด เมื่อกระแสลมแห่งอำนาจพัดโชย ในข้อนี้ รวมไปถึงความสามารถในการผันงบประมาณทุกรูปแบบให้ไหลเข้าสู่เขตเลือกตั้งของตัวเองให้ได้มากที่สุดด้วย
เป็นที่มาของสำนวน “อดอยากปากแห้ง” ที่ต้องไม่ลืมด้วยว่า คนการเมืองอยู่กันอย่างพอประทังชีวิตมายาวนาน เพราะถูกแช่แข็งการเลือกตั้ง นับแต่ปี 2557 เป็นต้นมา
ช่วงเวลาแห่งการ “ถอนทุนคืน” หลังสภาวะ “อดอยากปากแห้ง” จึงกินเวลายาวนาน และไม่พึงถูกล้มกระดานด้วยการ “ยุบสภา” เร็วปานนี้
ที่สะดุ้งที่สุด คงเป็นบรรดา “งูเห่าสีส้ม” ที่หาก “ยุบสภา” วันนี้ โอกาสกลับเข้าสู่สภา ถือเป็นศูนย์ สิ่งที่เคยต่อรองกับผู้มีอำนาจไว้ในยามรุ่งเรือง มีอันต้องอันตรธาน-ไม่เป็นไปตามข้อต่อรอง
“ศิริกัญญา-พรรคก้าวไกล” ชน “ผู้มีอำนาจ” โดยการเสนอ “ยุบสภา” ได้แบบเสียงดังฟังชัด ด้วยอาการแบบ ไม่สะท้านสะเทือน-มิหวั่นไหว เพราะเธอและพรรคไม่มีเดิมพันทางการเมืองในเชิงผลประโยชน์ ไม่ต้องลงแรง และเสียเวลาไปกับการ “ถอนทุนคืน”
มีแต่เดิมพันทางการเมืองในเชิงอุดมการณ์ ที่สัญญากับพี่น้องประชาชนไว้ว่าจะผลักดันวาระสำคัญหลายประการให้สำเร็จ
ทีมอนาคตใหม่ เดินเข้าสู่สนามการเลือกตั้งในปี 2562 ด้วยต้นทุนที่เป็น “เงิน” น้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับพรรคอื่น
ถ้าจำกันได้ “ธนาธร” ย้ำชัด ห้ามผู้สมัครใช้ “เงิน” เป็นตัวเดินเกมส์ในทุกสนามการเลือกตั้ง ในความหมายนี้ คือทั้งบนดินและใต้ดิน แต่ให้ใช้ “อุดมการณ์” เป็นจุดเชื่อมร้อยคะแนนเสียงระหว่างพรรคและพี่น้องประชาชนเข้าไว้ด้วยกัน
“เมื่อคนเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรค คนจะกากบาทให้เอง”
เมื่อไม่มีเดิมพันการเมืองแบบที่พรรคอื่นมี ก็ทำให้ “ศิริกัญญา” พูดประโยค “อย่าหยุดที่ ปรับ ครม.” แต่ให้ไปไกลถึง “ยุบสภา...คืนอำนาจให้กับประชาชน” ได้เต็มปากเต็มคำ
ยุบสภาทันที!! เพื่อถามประชาชนอีกครั้งว่า ยังต้องการให้นายกฯ คนนี้บริหารประเทศเพื่อนำพาประเทศฝ่าวิกฤตไปหรือไม่ ?
ทั้งย้ำอีกว่า “พรรคอื่นจะพร้อมหรือไม่พร้อม เราไม่ทราบ แต่พรรคก้าวไกลเราพร้อมที่จะขอมติจากประชาชนอีกครั้ง”
วันต่อมา “ธนาธร” แห่งคณะก้าวหน้า หงายไผ่อีกใบเขย่าการเมืองไทย เป็นระเบิดลูกใหญ่สู่ระบอบเผด็จการ และรัฐราชการรวมศูนย์ ด้วยการประกาศว่า จะส่งผู้สมัครชิงตำแหน่ง นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทุกระดับ ใน อปท. 4,000 แห่ง ทั่วประเทศ
“วันนี้พวกเราพร้อมเขย่าการเมืองท้องถิ่น เพื่อปลุกความหวังของผู้คน ปลดปล่อยศักยภาพของท้องถิ่น ทุกท่านที่เคยเลือกอนาคตใหม่ แต่กลับได้อนาคตเก่า นี่จะเป็นอีกครั้งที่จะแสดงพลัง ส่งเสียงว่า ประเทศนี้ต้องการอะไร ผ่านการเลือกตั้งท้องถิ่นที่เป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของประชาชน”
ด้วยเหตุที่ว่า การเลือกตั้งระดับชาติครั้งที่ผ่านมา ได้ถูกทำลายลงด้วยกลไกบิดเบี้ยวจากรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ที่มุ่งหวังทำลายพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ลากยาวมาจนถึงการตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ 10 ปี
เหล่านี้คือความพยายามในการทำลาย “อนาคตใหม่” เพื่อรักษา “อนาคตเก่า” ไว้อย่างมั่นคง แข็งแกร่ง
ผู้มีอำนาจที่คิดว่าจะทำลาย “อนาคตใหม่” ของสังคมไทยได้สิ้นซาก จำต้องกุมขมับเป็นการด่วน เพราะหนนี้ ไม่อาจประเมินต่ำเกินไป เหมือนคราวเลือกตั้งใหญ่ ที่อนาคตใหม่คว้าไปเกือบร้อยที่นั่ง ผิดคาดจากที่คนการเมืองประเมินกันไว้
ประเมินกันว่า หากคณะก้าวหน้า คว้าชัย 20% จาก อปท. 4,000 แห่ง ก็จะปรากฏ อปท. จำนวน 800 แห่ง ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับสังคมไทย ทั้งในเชิงการบริหารของ นายก อปท., การเขย่าวัฒนธรรมองค์กร ระบบราชการท้องถิ่น, การจัดทำงบประมาณท้องถิ่นแบบใหม่, การยกระดับเมือง การพัฒนาเมืองให้เกิดขึ้นจริง
การเลือกตั้งท้องถิ่นจึงสำคัญ เพราะเป็น “ฐานที่มั่นสุดท้ายของประชาชน” ที่จะส่งเสียงต่อผู้มีอำนาจ ในช่วงเวลาที่ช่องทางในการส่งเสียง-แสดงความเห็นในสังคมไทยถูกบีบแคบเข้าลงไปทุกวัน ขณะที่การเลือกตั้งใหญ่ก็ต้องรอไปอีกกว่า 2 ปี
พรรคอนาคตใหม่-พรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า ปรากฏต่อสังคมไทยในฐานะที่เป็น “ฝ่ายค้าน” บทบาทในสภาจึงเป็นบทบาทของการอภิปราย วิพากษ์ วิจารณ์ ให้ข้อเสนออย่างแหลมคมไปยังรัฐบาล
คนจึงมักจำว่าพรรคนี้ “พูดมากกว่าทำ” ไม่เหมือน “ทักษิณ-พรรคไทยรักไทย” ที่ได้มีโอกาส “ทำมากกว่าพูด” ผลจากการทำงานหนัก เมื่อได้เป็นรัฐบาล จึงทำให้ผลงานของพรรคไทยรักไทย อยู่ในความทรงจำของคนไทยตลอดมา
การคว้าชัยในสนามการเลือกตั้งท้องถิ่นของคณะก้าวหน้า จึงเป็นโอกาสให้ได้ “ทำมากกว่าพูด” ได้สร้างผลงานจริง ในระดับที่ต่อตรงกับพี่น้องประชาชนในทุกครัวเรือน
และหากทำสำเร็จจะยิ่งสร้างเกลียวคลื่นการเปลี่ยนแปลงต่อการเมืองระดับชาติ ในที่สุด
หรือหากคว้าชัยน้อยกว่านั้น ก็ไม่มีเสีย มีแต่ได้กับได้ เพราะถือเป็นโอกาสได้ปักธงเครือข่ายอนาคตใหม่ ไว้ในทุกพื้นที่ สอดรับกับยี่ห้อ “ธนาธร-ปิยบุตร” ที่หวังการเปลี่ยนแปลงในเชิงความคิด มากยิ่งไปกว่าเก้าอี้การเมือง
การคว้าชัยในสนามการเลือกตั้งท้องถิ่นของคณะก้าวหน้า ยังจะเป็นจุดเปรียบเทียบสำคัญต่อภาพใหญ่การบริหารประเทศ ที่มี “นายกรัฐมนตรี” หน้าเดิม และ “เครือข่าย” ชุดเดิม กุมบังเหียนประเทศอยู่ แต่ไม่สามารถพลิกฟื้น-เปลี่ยนแปลงประเทศ ไปสู่ทิศทางที่ดีกว่านี้ได้
เริ่มต้นที่สนามการเลือกตั้ง “องค์การบริหารส่วนจังหวัด” จำนวน 18 แห่ง ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
คณะก้าวหน้า ประกาศปักธงที่ พิษณุโลก, ตาก, อุบลราชธานี, มุกดาหาร, สกลนคร, ยโสธร, หนองบัวลำภู, ร้อยเอ็ด, หนองคาย, บุรีรัมย์, นครปฐม, พระนครศรีอยุธยา, สิงห์บุรี, สระบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง และพังงา
กระแสข่าว รายงานว่า คณะก้าวหน้าจะลงชิงชัยสนาม อบจ. มากกว่านี้ โดยเตรียมแจ้งเกณฑ์การคัดสรรที่เกี่ยวข้องในเร็ววันนี้
ปรากฏการณ์ที่จะได้เห็นในเร็ววันนี้ จึงเป็นการปูพรมสีส้มทั่วประเทศ ที่จะเดินทางไปพร้อมๆ กับ อุดมการณ์ชุดเดียวกัน ความฝัน ความหวังชุดเดียวกัน แนวนโยบายการพัฒนาเมือง และการดึงศักยภาพของเมือง ตามบริบทในแต่ละพื้นที่
สอดรับกับกระแสความนิยมของพรรคก้าวไกลในวันนี้ ที่พุ่งสูงเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ร้อยละ 16.7% รองลงมาคือ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย
หงายไพ่ให้ชัดชัดกันแล้ววันนี้
จะยุบสภา พรรคก้าวไกลก็พร้อมเข้าสู่สนามการเลือกตั้งระดับชาติ
จะเดินหน้าเลือกตั้งท้องถิ่น คณะก้าวหน้าก็พร้อมส่งลงชิงชัยใน อปท. 4,000 แห่ง
ผู้มีอำนาจกุมขมับ จะกำจัด “ธนาธร” อย่างไรต่อดี!!
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :