ที่ทำเนียบรัฐบาล ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์การประท้วงที่ประเทศเมียนมา หากลุกลามบานปลายจนข้ามชายแดนเข้ามา ไทยจะมีการเตรียมศูนย์พักพิงไว้หรือไม่อย่างไร ว่า ทางเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดนดูแลเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งหวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น โดยหวังว่าสถานการณ์ไม่บานปลายจนเกิดการหลั่งไหลซึ่งอาจจะมีการเข้ามาบ้าง แต่หวังว่าไม่ถึงขนาดมีการหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่จะดูแล 

เมื่อถามว่าภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เรียกเข้าไปหารือและแสดงข้อห่วงใยในประเด็นนี้อย่างไร รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เป็นการประเมินสถานการณ์ทั่วไปของภูมิภาคและมีการพูดถึงสถานการณ์ในเมียนมา อย่างไรก็ตามไม่ได้มีอะไรมาก เพียงหวังว่าสถานการณ์จะสงบโดยเร็วหรืออย่างน้อยมีช่องทางที่จะทำให้มีการพูดคุยกัน เพราะตราบใดที่มีการพูดคุยกันโอกาสที่จะเห็นจุดบรรจบร่วมกันได้ก็น่าจะมี 

ยืนยันไม่มีอพยพเข้าไทย

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นได้ ก็จะดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ดีสำหรับประชาชนเพื่อนบ้านของเรา ดีสำหรับประเทศไทยและดีกับอาเซียนด้วย ทั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ประเทศไทยกำลังติดตามอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. รวมทั้งจะติดตามต่อเนื่องกันมาในแง่การประสานกับอาเซียน และจะติดตามต่อไป

ส่วนที่มีกระแสข่าวระบุว่า มีชาวเมียนมาจำนวนหนึ่งเดินทางข้ามชายแดนมาด้วยเหตุผลทางการเมือง ขณะนี้มีรายงานว่ามีการหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ ดอน กล่าวว่า ไม่มีเพิ่มเติม

ส่วนความเป็นไปได้ในการเริ่มดำเนินการวัคซีนพาสปอร์ต ดอน อธิบายว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการหารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นการเฉพาะ และเมื่อได้ข้อยุติแล้วกระทรวงการต่างประเทศจะทำแผนการดำเนินการ ซึ่งผู้ที่มีใบรับรองพาสปอร์ตวัคซีน ไม่ใช่ว่าจะปลอดโรค โดยผู้ที่จะได้พาสปอร์ตวัคซีนจะต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 โดส ซึ่งเป็นเพียงข้อเสนอเบื้องต้นเท่านั้น

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่าง ดอนให้สัมภาษณ์ ได้ร้องโอ๊ย และจับที่บริเวณชายโครงด้านขวา และหยุดให้สัมภาษณ์ชั่วขณะ ภายหลังการให้สัมภาษณ์ได้มีการชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่ามีอาการเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง ซึ่ง ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง กับผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด -19 เพราะตนไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19

อ่่านเพิ่มเติม

• กฎอัยการศึกเมียนมา 'ใบอนุญาตฆ่า' สู่ปลายทางรัฐล้มเหลว