ที่รัฐสภา อนุกรรมาธิการ หรือ กมธ.คณะที่ 2 ใน กมธ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ประชุมศึกษาและรวบรวมข้อมูล กรณีกลุ่มบุคคลร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐกักตุนและลักลอบนำหน้ากากอนามัยส่งขายต่างประเทศ โดยเชิญนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าให้ข้อมูล ก่อนเข้าที่ประชุม กมธ.ชุดใหญ่อีกครั้งวันที่ 1 เมษายน 2563 นี้

นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานอนุ กมธ.ระบุว่า การหาประโยชน์จากการกักตุนเพื่อส่งออกหน้ากากอนามัยหรือแอบขายในตลาดมืดในช่วงโควิด -​ 19 แพร่ระบาด เป็นเรื่องที่เลวร้ายและไร้มนุษยธรรมที่สุด ขณะที่รัฐบาล ยังไม่ได้ขยับและแก้ไขปัญหานี้เท่าที่ควร โดย กมธ.ป.ป.ช. เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องค้นหาความจริง ถอดหน้ากากขบวนการดังกล่าว และสิ่งที่นายอัจฉริยะดำเนินการในเรื่องนี้มาตลอดเป็นประโยชน์อย่างมาก แต่ยังมีข้อจำกัดที่บางหน่วยงานไม่ให้ความร่วมมือทั้งด้านเอกสารและการให้ข้อมูลต่างๆ ขณะที่ กมธ.ป.ป.ช. มีอำนาจเรียกเอกสารและบุคคลเข้าให้ข้อมูลได้ 

ด้าน นายอัจฉริยะ เชื่อมั่นว่าจากข้อมูลที่มีจะเอาผิดอธิบดีกรมการค้าภายในได้แน่นอน และย้ำถึงข้อพิรุธจำนวนมาก ที่ทำให้หน้ากากอนามัยขาดแคลน และเป็นช่องทางให้มีการกักตุนรวมถึงส่งออกและขายในตลาดมืด โดยเฉพาะจากการดำเนินการของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ทั้งการจำกัดและเปิดโอกาสให้เพียง 11 บริษัทในการผลิตหน้ากากอนามัย และการกระจายหน้ากาก 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน ไปยังสถานพยาบาลและประชาชนที่ไม่เพียงพอและไม่ชัดเจน 

ที่สำคัญพบว่า มีบริษัทหลายร้อยบริษัทในประเทศไทยที่มีศักยภาพในการผลิตหน้ากากได้ อีกทั้ง 11 บริษัท ดังกล่าว มีกำลังการผลิตเป็น 2 เท่าจากที่ผู้มีอำนาจชี้แจงต่อสาธารณะ พร้อมยกตัวอย่าง บริษัท True Line Med ที่มีข่าวอื้อฉาวในการกักตุนและส่งออกหน้ากาก รวมถึงขายในตลาดมืดนั้น มีกำลังการผลิตได้ถึง 5 ล้านชิ้นต่อวัน ไม่ใช่ 2 ล้านชิ้นตามที่รายงานทางการ จึงพบการขายในตลาดออนไลน์ในราคาสูงตามที่ปรากฏเป็นข่าว