ไม่พบผลการค้นหา
“น.ต.ศิธา” รำลึกวันกองทัพอากาศ ประกาศขอเป็นนายทหารประชาธิปไตย เป็นลูกทัพฟ้าที่ปฏิเสธการรัฐประหารตลอดชีวิต เชื่อ“การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง อำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน” ยืนยันไม่ยอมก้มหัวให้กับเผด็จการ ขอยืนเคียงข้างประชาชน

น.ต.ศิธา ทิวารี ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคไทยสร้างไทย กล่าวรำลึกเนื่องในวันกองทัพอากาศ ซึ่งตรงกับวันที่ 27 มีนาคมของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญและเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของทหารอากาศ ซึ่งรวมถึงอดีตนายทหารนักบิน F-16 อย่างตนด้วยเช่นกัน น.ต.ระบุถึงความ มุ่งมั่นตั้งใจ ที่อยากเป็นนักบินรบของกองทัพอากาศตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เมื่อคุณสมบัติครบถ้วนก็มาสอบเข้าและได้รับคัดเลือกเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 24 จากนั้นเมื่อจบแล้ว ก็เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่โรงเรียนนายเรืออากาศ และทันทีที่จบการศึกษาก็ได้รับคัดเลือกไปเป็นศิษย์การบิน ผลัดที่ 1 โรงเรียนการบิน กำแพงแสน นครปฐม ใช้เวลา 1 ปี ก็สามรถติดปีกเป็นนักบินกองทัพอากาศอย่างสมภาคภูมิ 

ในระหว่างรับราชการ ตนถูกส่งไปประจำการที่ กองบิน 56 หาดใหญ่ ทำการบินกับเครื่องบินแบบ T-33 จากนั้นย้ายไปอยู่ที่กองบิน 23 จ.อุดรธานี ทำการบินกับเครื่องบินแบบ F-5 A/B และสุดท้ายก็ถูกส่งมาประจำการที่กองบิน 1 จ.นครราชสีมา เพื่อทำการบินกับ F-16 A/B ซึ่งตนรับราชการเป็นนักบินอยู่ที่นี่กว่า 8 ปี ก่อนย้ายเข้าไปเป็น รองหัวหน้าแผนกแผนร่วม กองนโยบายและแผน กรมยุทธการ กองทัพอากาศ ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่ผมจะตัดสินใจลาออกจากราชการ

น.ต.ศิธา ระบุว่า การตัดสินใจถอดเครื่องแบบสีเทา เข้าสู่การเป็นนักการเมืองเต็มตัวในปี พ.ศ.2543 โดยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขตคลองเตย สังกัดพรรคไทยรักไทย และได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ.2544 และปี พ.ศ.2548 สองสมัยติดต่อกัน ซึ่งนอกจากการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรแล้ว ตนเองโชคดีถูกมอบหมายให้ทำงานในตำแหน่งฝ่ายบริหารของรัฐบาลด้วย อาทิ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือโฆษกรัฐบาล 

ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่า กทม.พรรคไทยสร้างไทย ระบุว่าเลือดสีเทายังเข้มข้นเสมอ และภาคภูมิใจ ที่ถูกหล่อหลอมออกมาจากสถาบันแห่งนี้ เพราะหากปราศจากความรู้ความสามารถที่ถูกบ่มเพาะมาจากกองทัพอากาศ คงไม่มีวันที่จะมายืนอยู่ในจุดนี้ ซึ่งหลายเหตุการณ์ในอดีต ตนได้ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยม ไปปฏิบัติภารกิจต่างๆได้สำเร็จ เช่น การเข้าช่วยเหลือคนไทยจากเหตุการณ์จลาจลที่กัมพูชา หรือ เหตุการณ์ โปเชนตง ในปี พ.ศ.2546 ที่ทุกคนกลับถึงประเทศไทยอย่างปลอดภัยภายในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง เป็นต้น 

หลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ถูกตัดสิทธิ์การเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี จากการยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อพ้นโทษจากการถูกตัดสิทธิแล้ว ได้รับโอกาสสำคัญในการกลับมาช่วยงานในรัฐวิสาหกิจในตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ซึ่งได้ใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ต่างๆจากกองทัพอากาศมาประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน เพื่อยกระดับการบริหารท่าอากาศยานไทยให้ทัดเทียมท่าอากาศยานชั้นนำอื่นๆ ก่อนจะต้องยุติบทบาทอีกครั้งจากการรัฐประหารของบิ๊กตู่ในปี 2557

น.ต.ศิธา ขอยืนยันในความเป็นนายทหารประชาธิปไตย เข้าสู่การเป็นนักการเมืองด้วยเสียงจากประชาชน ดังนั้นตลอดชีวิตทางการเมือง จึงไม่เคยรับตำแหน่งใดจากคณะรัฐประหาร เพราะไม่เคยเชื่อว่าการรัฐประหารคือทางออกของประเทศไทย และมันได้ถูกพิสูจน์มาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์ร่ำรวยทั้งอำนาจและเงินตราก็คือคณะปฏิวัติ แต่คนไทยและประเทศไทยต่างหาก ที่ต้องตกต่ำและทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ 

น.ต.ศิธา เชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่า “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” และ “อำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน” เราต้องไม่ยอมให้อำนาจนั้นถูกแย่งชิงไปด้วยนายทหารไม่กี่คน ที่อ้างว่าจะเข้ามาเพื่อคืนความสุข แต่ผ่านไปแล้ว 8 ปี คนไทยกลับมีแต่ความทุกข์ยาก สิ้นหวัง และไร้อนาคต อีกเป็นอันขาด

ในวันที่ระลึกกองทัพอากาศนี้ ขอให้สัญญากับสถาบันที่อันเป็นที่รักว่า ตนยังคงเป็นอดีตนายทหารอากาศ ที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับเผด็จการ และจะยืนเคียงข้างประชาชนและฝ่ายประชาธิปไตย เป็นทหารของประชาชน ตลอดไป