ไม่พบผลการค้นหา
'ไทยสร้างไทย' จัดปราศรัยใหญ่เวทีแรกย่านฝั่งธนฯ ลั่นคิดต่างเพื่อคนฝั่งธน ขณะที่ 'ศิธา' ฉายนโยบาย หนุนคนตัวเล็กทำมาหากิน-ข้าราชการโปร่งใส ด้าน 'สุดารัตน์' ปลุกคนกรุงเลือก 'ศิธา' ยุติขัดแย้ง พัฒนาประเทศ ส่วน 'จอนนี่' ปราศรัยขอลบภาพสีเสื้อขัดแย้ง พร้อมขอโทษเคยมีมายาคติทางการเมืองอีกขั้ว

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2565 พรรคไทยสร้างไทย จัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่หน้าเดอะมอลล์บางแค เขตบางแค ภายใต้แนวคิด ‘คิดต่างเพื่อคนฝั่งธน มาร่วมสร้างฝั่งธนที่ดีที่สุดไปกับพรรคไทยสร้างไทย’ นำโดย น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) หมายเลข 11 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย รวมทั้งผู้สมัคร ส.ก. ทั้ง 50 เขต และแกนนำพรรค โดยมีตัวแทนผู้สมัคร ส.ก. จาก 3 เขต ขึ้นปราศรัย ประกอบด้วย 

ไสว โชติกะสุภา ผู้สมัคร ส.ก. เขตราษฎร์บูรณะ หมายเลข 3 กล่าวว่า เป็นครั้งแรกตั้งแต่เป็น ส.ก. มา 4 สมัย ตนได้รับเกียรติอย่างยิ่งจาก คุณหญิง สุดารัตน์ ให้มาร่วมเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย เชื่อว่าตัดสินใจไม่ผิดแน่นอน เพราะความเดือดร้อนทั้งหลายในปัจจุบันนี้ พรรคไทยสร้างไทยมีนโยบายพร้อมแก้ไขทุกประการ

วิชัย หุตังคบดี ผู้สมัคร ส.ก. เขตธนบุรี หมายเลข 3 ระบุว่า ในฐานะที่ตนปฏิบัติหน้าที่ในเขตธนบุรีชั้นในมาเป็นเวลานาน เห็นว่าลักษณะของเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะเป็นกิจการขนาดเล็ก ดังนั้นแนวนโยบายของ น.ต.ศิธา จึงพยายามปรับปรุงให้เหมาะกับพื้นที่ คือเน้นช่วยเหลือคนตัวเล็กตัวน้อย ในระดับลูกจ้าง

พีร์ โรจนดารา ผู้สมัคร ส.ก. เขตภาษีเจริญ หมายเลลข 3 กล่าวถึงปัญหาหลักที่เกิดขึ้นในเขตภาษีเจริญ คือสถานการณ์โควิด-19 ระบุว่า ตนน่าจะเป็นเจ้าแรกที่มีจุดบริการส่งผู้ป่วยโควิด-19 ดูแลผู้ป่วยอย่างครบวงจร สำหรับนโยบายที่เสนอคือ ทำให้ภาษีเจริญเป็นแลนด์มาร์คที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งธน คือการสร้างถนนคนเดินบริเวณพุทธมณฑล สาย 1

จากนั้น เวลาประมาณ 18.00 น. สมาชิกพรรคไทยสร้างไทย ได้ร่วมกันยืนแสดงความไว้อาลัยต่อ พรพิมล คงอุดม ผู้สมัคร ส.ก. เขตบางซื่อ หมายเลข 2 พรรคไทยสร้างไทย ที่ได้ถึงแก่กรรมไปเมื่อ 1 พ.ค. 2565 หลังเข้ารักษาโรคมะเร็ง

ไทยสร้างไทย สุดารัตน์ ประภัสร์ -1479BCC4FB26.jpegจอนนี่ แอนโฟเน่ ไทยสร้างไทย 8EBB9024E.jpegสุดารัตน์ ไทยสร้างไทย 4B-9056-F5E781767072.jpeg

‘จอนนี่’ ขอโทษอดีตทำพลาด ปลุกคนไทยลบภาพสีเสื้อขัดแย้ง วอนสามัคคี-ให้อภัย

จากนั้น จอนนี่ แอนโฟเน่ นักแสดงและพิธีกร ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.มีนบุรี พรรคไทยสร้างไทย กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า ขอโทษอีกครั้ง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งซึ่งพาบ้านเมืองมาถึงจุดนี้ ตนอาจเคยมีมายาคติทางการเมืองแบบหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านมา ได้เห็นผลลัพธ์ของการกระทำนั้นแล้ว ก็ควรสำนึกได้ว่าสิ่งที่เคยทำนั้นผิดอย่างไร 

“ความขัดแย้งในประเทศนี้ควรยุติลงได้แล้ว ไม่ว่าใครจะเสื้อสีอะไรก็แล้วแต่ ผมอาจจะเคยเป็นเหลือง เป็นเสื้อหลากสี บางคนอาจเคยเป็นเสื้อสีแดง แต่วันนี้เราต้องไม่มีสี เราต้องเป็นเสื้อสีเดียวกัน เพื่อพาเราฝ่าวิกฤตของประเทศนี้ไปให้ได้”

เวลานี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนต้องหันมาสามัคคีกัน ยุติความขัดแย้งแบ่งฝ่ายทางการเมือง ร่วมมือกันพัฒนาประเทศ ทุกๆ คำปรามาสตนนั้น ขอน้อมรับไว้ แต่จะดีกว่าถ้าเปลี่ยนคำด่าเหล่านั้น เป็นคำเสนอแนะ หรือแม้กระทั่งเรื่องร้องเรียนปัญหา เพื่อที่ตนจะได้นำไปเสนอต่อพรรคและหาหนทางแก้ต่อไป สาเหตุที่ตนเข้าร่วมพรรคไทยสร้างไทย เพราะเห็นว่าเป็นพรรคเดียวที่สามารถยุติความขัดแย้งของประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองได้

“เวลาได้พิสูจน์แล้ว ผมอยากจะกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องทุกคน อยากจะขอร้องว่า เราขอโทษกันได้ในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่รู้สึกว่าเราผิด และเฉกเช่นเดียวกัน ใครก็ตามที่ถูกร้องการอภัยให้ เราก็ควรมีจิตเมตตาอภัยให้เขา เพื่อที่เราจะได้สามัคคี และร่วมมือกันเดินไปข้างหน้าเพื่อแก้วิกฤตประเทศของเรา” จอนนี่ กล่าว

จากการเดินลงพื้นที่ของตน พบว่าสถานการณ์ทั่วกรุงเทพฯ และประเทศไทยเหมือนกันหมด คือปัญหาปากท้องเกิดขึ้นทั่วทุกที่ จอนนี่ เสนอโครงการเครดิตของชาวกรุงเทพฯ ให้ประชาชนคนตัวเล็กๆ ได้หลุดพ้นจากปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่าการกู้เงิน

จอนนี่ แอนโฟเน่ ไทยสร้างไทย -B66B-857706415A30.jpeg


ประภัสร์ ไทยสร้างไทย 7-6C250EDF45D3.jpeg

‘ประภัสร์’ ย้ำผู้ว่าฯ กทม. ต้องมี ส.ก. ถ้าเสนอตัวมาคนเดียวทำไม่ได้

ด้าน ประภัสร์ จงสงวน ผู้อำนวยการกองการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคไทยสร้างไทย กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า ผู้สมัคร ส.ก.ทุกคนเป็นส่วนสำคัญมากในการผลักดันนโยบายทั้ง 11 ด้านของพรรคไทยสร้างไทย เพราะข้อเท็จจริงคือ ผู้ว่าฯ กทม. เพียงคนเดียว ไม่สามารถทำอะไรได้เลยหากขาด ส.ก. ช่วยสนับสนุนในสภากรุงเทพมหานคร

“ใครก็ตามที่จะมาเสนอตัวเป็นผู้ว่าฯ กทม. คนเดียว โดยไม่มีทีม ส.ก. ผมว่ามันไม่จริง ทำไม่ได้ เว้นแต่ว่าเขาอาจจะมีข้อตกลงเป็นพิเศษ มีใครหนุนหลัง แต่คนเรา ถ้าเข้ามาโดยไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดตั้งแต่วันแรก ก็ไม่ต่างอะไรจากหลวงพี่กาโตะ”

ประภัสร์ ยืนยันว่า ทีมงานของพรรคไทยสร้างไทย ประกอบด้วยบุคลากรที่มีประสบการณ์ และความรู้ความสามารถ ไม่ใช่เสนอตัวมาเพียงคนเดียว แต่ไม่เคยมีอะไรที่สำเร็จในความเป็นจริง จึงถือเป็นความแตกต่าง ที่อยากให้ผู้สมัคร ส.ก. ทุกคน มีความภาคภูมิใจ และเชื่อมั่นในประธานพรรค ว่าไม่เคยมีข้อครหาในการทำงานแต่อย่างใด

โภคิน ไทยสร้างไทย D4E-1DB118CE9CB6.jpegศิธา ไทยสร้างไทย -DBA9-4CEA-85AC-51199C5FF128.jpeg

‘โภคิน’ ชี้ จะเปลี่ยนประเทศให้พ้นอำนาจนิยม ต้องเริ่มจากเปลี่ยน กทม.

จากนั้น โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย ขึ้นปราศรัยว่า การเมืองไทยที่ผ่านมาตลอด 90 ปี ถอยหลังมาเรื่อยๆ และกำลังเดินเข้าสู่จุดตกต่ำที่สุด สาเหตุเนื่องมาจากอำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นไปเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ก่อให้เกิดความสิ้นหวัง ไร้อนาคตต่อประเทศ พรรคการเมืองก็มีแต่ประเภทที่ใช้อำนาจเงินเพื่อคะแนนเสียง หรือประเภทที่สร้างวาทกรรม เอื้อประโยชน์แต่ตนเอง

“นายกรัฐมนตรีแบบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาแล้วก็ไป เดี๋ยวก็มีใหม่มา ตราบใดที่แนวคิดแบบอำนาจนิยมยังคงอยู่ เขาจะยังคงใช้รัฐราชการเป็นเครื่องมือกดหัวประชาชน พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่จึงตัวเล็ก ไร้สิทธิเสียง ไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น” โภคิน กล่าวและว่า ด้วยเหตุนี้ จึงต้องสร้างพรรคที่เป็นสถาบันการเมืองเพื่อประชาขนที่แท้จริง ซึ่งเป็นปณิธานของพรรคไทยสร้างไทย ทำงานการเมืองเพื่อเสียสละเป็นสะพานให้คนรุ่นต่อไปได้ก้าวไปอย่างแข็งแรง ประเทศนี้ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีอนาคต จึงขอให้พี่น้องประชาชนต่อสู้ร่วมกัน

“เป้าหมายของเราใน กทม. คือทำให้พี่น้องทำมาหากินได้ ขณะเดียวกันก็ลดรายจ่ายให้พี่น้องเป็นสิ่งสำคัญ พี่น้องต้องเลือกทั้งผู้ว่าฯ และ ส.ก. ไปทำงานกันแบบไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติของท้องถิ่นคอยช่วยผลักดันสิ่งผู้ว่าฯ เสนอ ก็ไปยาก หากอยากเลือกใครก็เลือก มันสะเปะสะปะ จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนประเทศ เราต้องเปลี่ยน กทม. ก่อน”

ศิธา ไทยสร้างไทย 6-799CB6C34C36.jpegศิธา ไทยสร้างไทย 6F5-653BF1E9B234.jpegศิธา ไทยสร้างไทย 9545-EABCEAD780C3.jpeg

'ศิธา' คิดต่างเพื่อชาว กทม. ย้ำดันกรุงเทพฯ เป็นเมืองสร้างสรรค์

น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 11 พรรคไทยสร้างไทย ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ย้ำถึงการขับเคลื่อนนโยบายในมิติต่างๆ โดยเฉพาะการ "คิดต่างเพื่อคนกรุงเทพฯ" มุ่งสร้างกทม.ให้เป็นมหานครที่ผู้คนมีความสุข สุขภาพดี ทำมาหากินได้สะดวก สะอาด ปลอดภัย ทันสมัย พร้อมขจัดอุปสรรค ระเบียบ กฎเกณฑ์ ที่กดทับพี่น้องประชาชน 

เช่น การร่วมมือกับพี่น้องชาวกทม. สร้างอํานาจให้คนกรุงเทพฯ สามารถตรวจสอบการทำงานของผู้ว่าฯ กทม.และข้าราชการ กทม.ได้ โดยข้าราชการต้องเป็นข้ารับใช้ประชาชน ที่สำคัญจะเปิดโอกาสให้พี่น้องชาว กทม.สามารถทํามาหากินได้เร็วที่สุด สะดวกที่สุด เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทันที รวมถึงการลดค่าใช้จ่าย พร้อมอํานวยความสะดวกในการเดินทางให้คนกรุง นอกจากนี้ จะสร้างกทม. ให้เป็นเมือง Start up และดิจิทัล Economy โดย กทม.จะต้องเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับ Digital Economy 

รวมถึงป้องกันและรักษาสุขภาพ โดยเพิ่มสวนสาธารณะ และเพิ่มเวลาบริการ สร้างกรุงเทพเป็นเมืองสะอาดปลอดภัย มีระเบียบ นอกจากนี้จะพลักดันกรุงเทพ ให้เป็นมหานครแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อสร้างรายได้ให้คนกรุงเทพในแต่ละเขตทุกเดือนเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

น.ต.ศิธา ประกาศด้วยว่าจะสร้างโรงเรียนดีใกล้บ้าน เริ่มจากโรงเรียนสังกัด กทม.ต้องมีมาตรฐานเท่าเทียม เพราะถ้าโรงเรียนมีมาตรฐานเท่าเทียมกันหมด โรงเรียนที่ดีที่สุดก็คือโรงเรียนใกล้บ้าน 

"ส่วนพี่น้องประชาชนที่อยู่ในฝั่งธนบุรี จะไม่ใช่ลูกเมียน้อยอีกต่อไป โดยเฉพาะปัญหาที่พี่น้องร้องเรียน และสะท้อนมายังพรรคไทยสร้างไทย เช่น เรื่องของปัญหาขยะ ปัญหาน้ำท่วมฝั่งธน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่ฝั่งธน รวมถึงฝั่งธนบุรีจะต้องได้รับการพัฒนา Mass Transit อย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความเชื่อมโชงมากขึ้น" 

น.ต.ศิธา กล่าวว่า สำหรับพื้นที่บางส่วน ที่อยู่ใกล้แนวชายฝั่ง บริเวณทะเลบางขุนเทียน ถูกน้ำทะเลกัดเซาะหายไปหลายกิโลเมตร จำเป็นต้องแก้ปัญหาในส่วนนี้อยย่างจริงจัง ที่สำคัญจะต้องเร่งปรับปรุงระบบการใช้จ่ายงบประมาณให้สมดุลและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อความเท่าเทียมของพี่น้องฝั่งธน

ศิธา ไทยสร้างไทย 582-AE9FA7117D57.jpegศิธา ไทยสร้างไทย 4-47C8-83DA-5B19339A4A09.jpegสุดารัตน์ ศิธา ไทยสร้างไทย 7-BC67-97B7E4CB601B.jpeg46984A06-D125-4AD2-8744-7BC2DAE6897B.jpegสุดารัตน์ ไทยสร้างไทย DA8D74E12.jpeg

'สุดารัตน์' หนุน 'ศิธา' ใช้ กทม.เป็นพื้นที่นำร่อง ชาวกรุง หายจน ดันกองทุนคนตัวเล็ก

คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ขึ้นเวทีประกาศอาสานำทัพทีมไทยสร้างไทย “สู้เพื่อคนตัวเล็ก” โดยพรรคไทยสร้างไทยจะเป็นพรรค “ทางเลือกใหม่ ทางรอดของประเทศ ยุติความขัดแย้ง มุ่งสร้างเศรษฐกิจที่ดี” และการก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทยเพื่อให้เป็นสถาบันการเมืองที่ทุกคนเป็นเจ้าของ และการสร้างพรรคไทยสร้างไทย จะเป็นภารกิจสุดท้ายของสุดารัตน์ ขณะเดียวกันได้ให้คำมั่นว่า จะขอสู้เพื่อพี่น้องคนตัวเล็กให้ “หายจน หมดหนี้ มีรายได้อย่างยั่งยืน” 

"สุดารัตน์เพียงคนเดียวไม่สามารถทำสำเร็จได้ จึงต้องขอแรงพี่น้องประชาชนทุกคนมาช่วยกันสร้างพรรคไทยสร้างไทยร่วมกัน โดยการสนับสนุนผู้สมัครผู้ว่าทีมสุดารัตน์ น.ต.ศิธา ทิวารี เบอร์ 11 และส.ก.ของพรรคไทยสร้างไทยทั้ง 50 เขต ประธานพรรคไทยสร้างไทยย้ำด้วยว่า ที่ผ่านมา น.ต.ศิธา ทิวารี ได้ร่วมงานกันมา 22 ปีอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในงานยากๆ ที่สุดารัตน์เคยทำ และที่สำคัญ น.ต.ศิธา เป็นจะผู้ว่าที่ลงมือทำจริง ลุยงานจริง และทำงานสำเร็จจริง เพราะกล้าคิดต่าง โดย น.ต.ศิธา จะแก้อุปสรรคที่ขวางกั้นให้กับประชาชน"

คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุด้วยว่า ทุกนโยบายของพรรคไทยสร้างไทย ที่ได้ประกาศไปแล้วไม่ว่าจะยากเพียงใด ทีมไทยสร้างไทย และน.ต.ศิธา จะใช้ กทม.นำร่องทำให้สำเร็จทุกนโยบาย เช่น นโยบายกองทุนเครดิตประชาชนเพื่อคนตัวเล็ก หรือกองทุนคนตัวเล็ก ซึ่ง น.ต.ศิธา ทิวารี จะใช้กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่นำร่อง มอบ “บัตรเครดิตประชาชน” เพื่อให้คนตัวเล็กเข้าถึงแหล่งถึง เลิกพึ่งพิงหนี้นอกระบบ และกองทุนดังกล่าว จะเป็น “เครดิต” ที่มอบให้ติดตัว โดยกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ไม่เกินร้อยละ1 ต่อเดือน ตั้งแต่ 5,000 ถึง 50,000 บาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ยิ่งไปกว่านั้น เงินส่วนนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สูญเปล่าเหมือนการแจกเงินในปัจจุบัน 

และจะใช้พื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่นำร่องนโยบายบำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งพรรคได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้สูงอายุที่ได้ทำงานอย่างหนักมาทั้งชีวิต แต่กลับ“แก่ก่อนรวย” ดังนั้นนโยบายบำนาญประชาชน จึงเป็นการตอบแทนผู้สูงวัย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้ประโยชน์ถึง 4 อย่าง คือผู้สูงอายุมีรายเพียงพอต่อการยังชีพอยู่ สามารถอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี สุขภาพแข็งแรง ลดภาระลูกหลาน เป็นกำลังซื้อมหาศาลให้กับเศรษฐกิจฐานราก ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศขยายตัวดีขึ้น

"นโยบายดังกล่าว ไม่ใช่การแจกเงินแบบสูญเปล่าเหมือนโครงการประชารัฐหรือประชานิยม แต่จะเป็นการสร้างเศรษฐกิจให้กลับมาหมุนเวียนตั้งแต่ระดับหมู่บ้านชุมชน ไปจนถึงระดับประเทศ เกิดการใช้จ่ายต่อยอดรายได้ และในท้ายที่สุด จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็งอีกครั้ง"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง