เมืองอู่ฮั่นในมณฑลหูเป่ยซึ่งมีประชากรประมาณ 11 ล้านคน และเป็นจุดแรกที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้ถูกสั่งปิดเมืองตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมาเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส
ล่าสุด มาตรการล็อกดาวน์ได้ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อช่วงเที่ยงคืนวันที่ 8 เม.ย. โดยประชาชนหรือผู้มาเยือนเมืองอู่ฮั่นที่มีสุขภาพดีจะได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากเมืองด้วยรถไฟ เครื่องบิน รวมถึงทางรถยนต์ หลังจากเปิดบริการเส้นทางรถไฟ สนามบิน ทางน้ำ ทางหลวง และรถโดยสารสาธารณะตามปกติอีกครั้ง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มีการคาดการณ์ว่าตลอดวันนี้จะมีผู้โดยสารเดินทางออกจากอู่ฮั่นทางรถไฟมากกว่า 55,000 คน ร้อยละ 40 มุ่งหน้าสู่พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง (Pearl River Delta Region) และจะมีรถไฟโดยสารออกเดินทางจากอู่ฮั่นมุ่งหน้าสู่นครเซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และเมืองอื่นๆ ทั้งสิ้น 276 ขบวน โดยหน่วยงานการรถไฟกำหนดให้ผู้โดยสารสแกนรหัสสุขภาพและตรวจอุณหภูมิร่างกายเมื่อเข้ามาในสถานีและต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการฆ่าเชื้อโรคขบวนรถไฟหัวกระสุน ประตูทางเข้า ทางออก โถงกลาง และชานชาลาของสถานีรถไฟไว้ก่อนแล้ว
รายงานระบุว่าหลังเวลา 6.00 น. เพียงไม่นานก็มีผู้โดยสารไปเข้าคิวรอขึ้นรถไฟขบวนแรกที่จะเดินทางออกจากเมืองอู่ฮั่นที่สถานีฮั่นโข่ว สถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองจิงโจวทางตอนใต้ของมณฑลหูเป่ย ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 กิโลเมตร โดยผู้โดยสารหลายคนถือกล่องของขวัญที่ได้รับจากฝ่ายบริหารของสถานีรถไฟที่ได้จัดให้เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ตามชานชาลาและถือป้ายสีแดงพร้อมข้อความ “สถานีฮั่นโข่วยินดีต้อนรับ” ขณะที่ชาวเมืองอู่ฮั่นและผู้ที่ต้องติดอยู่ในเมืองนี้หลังการล็อกดาวน์ก็บอกว่า รู้สึกดีใจที่ยกเลิกมาตรการปิดเมือง โดยโรคระบาดครั้งใหญ่นี้ได้สร้างความสูญเสียอย่างมากให้กับเมืองอู่ฮั่นรวมถึงประชาชนในเมืองนี้
อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่เดินทางออกจากเมืองอู่ฮั่นจะต้องแสดงหลักฐานยืนยันว่าพื้นที่ที่พวกเขาเดินทางมาได้รับการประกาศว่าปลอดภัยจากเชื้อไวรัส และอาจต้องถูกกักตัว 2 สัปดาห์เมื่อเดือนทางถึงมณฑลปลายทาง
ยังเฝ้าระวังหนักแม้กลับมาเปิดเมืองอีกคร้ั้ง
การคลายมาตรการห้ามการเดินทางจากเมืองอู่ฮั่นถูกมองเป็นหมุดหมายสำคัญในการต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของจีน ทางการรายงานว่่าจำนวนผู้ติดเชื้อภายในท้องถิ่นแทบจะเป็นศูนย์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีการคลายมาตรการห้ามเดินทางที่คล้ายกันในพื้นที่อื่นของมณฑลหูเป่ยเมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางการเมืองอู่ฮั่นก็ยังเตือนว่ายอดผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ไม่ได้หมายถึงความเสี่ยงเป็นศูนย์ และการยกเลิกข้อบังคับห้ามเดินทางไม่ได้หมายถึงการยกเลิกมาตรการป้องกันและควบคุม โดยยังขอให้ชุมชนที่อยู่อาศัยดำเนินการบริหารจัดการแบบปิดพื้นที่ต่อไป ผู้อยู่อาศัยที่ผ่านทางเข้าเขตชุมชนจะต้องตรวจวัดอุณหภูมิและสวมหน้ากากอนามัย
ส่วนห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต สวนสาธารณะและโรงพยาบาลที่จะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งควรควบคุมจำนวนผู้มาเยือน และตรวจวัดอุณหภูมิอย่างเข้มงวดเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ ขณะที่โรงเรียนทุกแห่งในมณฑลหูเป่ยจะยังคงเลื่อนการเปิดจนกว่าจะมีประกาศต่อไป
จนถึงตอนนี้จีนพบผู้ติดเชื้อแล้ว 82,897 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 3,333 ราย ทั้งนี้ ตัวเลขทางการชี้ว่าร้อยละ 80 ของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในจีนอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น
รัฐบาลจีนอาจถูกฟ้องร้องจากการจัดการไวรัสระบาด
รายงานของหน่วยงานคลังสมองด้านนโยบายต่างประเทศในกรุงลอนดอนของอังกฤษอย่าง 'เฮนรี แจ็คสัน โซไซตี้' (Henry Jackson Society) ซึ่งเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ ระบุว่า จีนอาจต้องเผชิญการฟ้องร้องในระดับนานาชาติเป็นมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการจัดการกับการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยประเทศที่เป็นสมาชิก G7 และรัฐบาลอื่นๆ สามารถฟ้องร้องพรรคคอมมิวนิสต์จีนจากความเสียหายทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศเหล่านี้ได้รับ โดยระบุว่า จีนฝ่าฝืนกฎอนามัยระหว่างประเทศซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันตามกฎหมายที่จีนได้ลงนามไว้
รายงานนี้ระบุว่า การฝ่าฝืนกฎของจีนทำให้การระบาดแพร่ไปอย่างรวดเร็วนอกเมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นต้นตอของการระบาด พร้อมระบุถึงความล้มเหลวในการเปิดเผยหลักฐานการแพร่เชื้อจากคนสู่คน ถูกยื้อไว้เป็นเวลานานถึง 3 สัปดาห์หลังจากที่จีนรับทราบข้อมูลครั้งแรก พร้อมชี้ว่ารัฐบาลจีนให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกับองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อในช่วงต้นเดือนมกราคม
ขณะเดียวกันก็ล้มเหลวในการห้ามการซื้อขายสัตว์สายพันธุ์ที่เป็นโฮสต์ของไวรัสอันตรายนี้เพื่อการบริโภค และหน่วยงานสาธารณสุขของจีนยังอนุญาตให้ประชาชน 5 ล้านคน เดินทางออกจากเมืองอู่ฮั่นด้วยการประกาศล็อกดาวน์แต่ไม่บังคับใช้ในทันทีในขณะที่รับทราบว่าไวรัสถูกแพร่จากคนสู่คนได้ ซึ่งรายงานนี้ได้อ้างงานศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซาท์แทมตันที่ชี้ว่าการระบาดของโควิด-19 สามารถลดลงได้ราวร้อยละ 95 หากทางการจีนดำเนินการเร็วกว่านี้ 3 สัปดาห์ โดยสำหรับประเทศกลุ่ม G7 เพียงอย่างเดียว ค่าความเสียหายที่เป็นไปได้ที่จีนอาจต้องรับผิดชอบนั้นอยู่ที่ราวๆ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมชี้ว่ามีหน่วยงานทางกฎหมาย 10 แห่ง ที่อาจสามารถดำเนินการกับจีนได้ เช่น ศาลยุธรรมระหว่างประเทศ ศาลอนุญาโตตุลาการถาวร ศาลฮ่องกง องค์การการค้าโลก ไปจนถึงการระงับข้อพิพาทผ่านสนธิสัญญาการลงทุนทวิภาคีต่างๆ
รายงานนี้ถูกเผยแพร่หลังจากผู้นำทางศาสนาคนสำคัญของเอเชียจำนวนหนึ่งระบุว่า จีนควรจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้กับประเทศอื่นๆ จากการจัดการการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลกแล้ว
ทั้งนี้ พระคาร์ดินัลด์ชาร์ลส์ โบ แห่งเมียนมา ซึ่งเป็นประธานการประชุมสหพันธ์สภาพระสังฆราชแห่งเอเชียระบุว่า รัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิวนิสต์จีนควรต้องขอโทษทุกคน และจ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่จีนเป็นต้นเหตุ
อ้างอิง CNN/CNA/The Straits Times/The New York Times/Radio Free Asia
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: