นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค และ ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม รองหัวหน้าพรรค แถลงข่าวที่สำนักงานพรรคประชาชาติ เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เป็นการแสดงท่าทีของพรรคถึงแนวทางจัดตั้งรัฐบาล หลังจากที่พรรคประชาชาติได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการรวม 7 ที่นั่ง คือ ส.ส.แบบเขต 6 ที่นั่ง และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่ง
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมานั้นได้พบเห็นการเลือกตั้งที่ไม่ปกติ กกต. อาจไม่ค่อยมีประสบการณ์ พบข้อบกพร่องมากมายในการดำเนินการเลือกตั้ง แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องทำให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างที่เราคาดหวัง เพื่อความน่าเชื่อถือ การเลือกตั้งที่ผ่านมาพบว่ามีข้าราชการทำงานรับใช้พรรคการเมืองบางพรรคอย่างโจ่งครึ่ม นี่คือสิ่งที่ไม่อาจทำให้นำไปสู่ประชาธิปไตยได้ กกต.ต้องหาทางแก้ไข
โดยรู้สึกพอใจการเลือกตั้งในระดับหนึ่งที่พี่น้องประชาชนออกมาใช้สิทธิ ท่ามกลางกระแสการซื้อเสียง ขายเสียง และมีอำนาจรัฐกดดัน พรรคประชาชาติเราฝ่ามรสุมนี้มาได้ ส.ส. 7 ที่นั่ง ซึ่งจริงๆพรรคประชาชาติน่าจะทำได้มากกว่านี้ หากเป็นการเลือกตั้งปกติทั่วไป แต่เลือกตั้งนี้มีบางอย่างที่ไม่ปกติ ทางฝ่ายกฎหมายของพรรคจะรวบรวมพยานหลักฐาน เอาผิดกับผู้ทุจริตการเลือกตั้ง และต้องให้โอกาสผู้ปฏิบัติด้วยว่ามีความรู้เท่าถึงการณ์หรือยัง หรือถูกบังคับจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งพรรคประชาชาติจะประชุมพรรคเร็วๆนี้
สำหรับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. 7 ที่นั่งนั้น ได้มอบเลขาธิการพรรคพูดคุยเรื่องการร่วมจัดตั้งรัฐบาล คะแนนที่ได้นั้นยังไม่เป็นทางการ ถึงแม้ส่า กกต.จะประกาศผลอย่าวเป็นทางการในวันที่ 9 พ.ค.นี้ แต่คะแนนร้อยละ 99 ควรรู้ผลภายใสนสัปดาห์นี้ เพื่อให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคได้หารือกันจัดตั้งรัฐบาล
"จุดยืนของพรรคประชาชาติในการจัดตั้งรัฐบาล มติในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค มีมติชัดเจนว่าพรรคประชาชาติจะยืนเคียงข้างฝ่ายประชาธิปไตย และเคียงข้างความต้องการของประชาชน เราไม่สามารถเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองที่ต้องการสืบทอดอำนาจเผด็จการได้ ซึ่งขณะนี้มี 2 พรรคใหญ่พร้อมที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาชาติเราพร้อมสนับสนุนฝ่ายที่มีจุดยืนประชาธิปไตยในการจัดตั้งรัฐบาล"
ดังนั้นเป็นหน้าที่ของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่จะต้องคุยกัน เบื้องต้นต้องหารือกันในเรื่องการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลนั้นคงต้องใช้เวลา แต่คงจะชัดเจนในสัปดาห์หน้า ปัจจัยหนึ่งที่ไม่เป็นปกติในการจัดตั้งรัฐบาลคือ เรื่องของ ส.ว. 250 คน จะเป็นตัวแปรทำให้เสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถควบคุมการเลือกนายกรัฐมนตรีได้ แต่ต่อไปหลังจากการเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว การบริหารประเทศจะบริหารโดยสภาผู้แทนราษฎร เพราะฉะนั้นหากนำเสียงของ ส.ว. 250 คน มารวมกับเสียงข้างน้อยของสภาผู้แทนราษฎร
แน่นอนว่าเราจะได้รัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของต่างประเทศ ผลที่จะเกิดขึ้นคือการลงทุน ตลาดหุ้น จะลดลงอย่างแน่นอน เพราะไม่รู้รัฐบาลจะไปวันไหน เพราะว่าถ้ารัฐบาลเสียงข้างน้อยตั้งรัฐบาลแล้ว ประการแรกจะมีอุปสรรคในการออกกฎหมาย ประการที่สองการเสนองงบประมาณแผ่นดิน
ประการที่สามการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ต้อรอ 6 เดือนหรือ 1 ปี ซึ่งน่าเป็นห่วง พรรคประชาชาติในฐานะที่เราต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราอยากเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพดำเนินการไปตามระบอบประชาธิปไตย โดยประชาชน เพื่อประชาชน และประการที่สามเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดคือการปรองดองสามัคคีของคนในประเทศภายใต้กฎหมาย
ในส่วนของหลักการในการจัดตั้งรัฐบาลว่าควรยึดฝ่ายที่ได้ ส.ส.มากที่สุดจัดตั้งรัฐบาล หรือยึดเอาฝ่ายที่ได้คะแนนป็อปปูล่าโหวตเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาชาติมองว่าหลักการง่ายๆ การปกครองแบบประชาธิปไตย การเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นควรเป็นเสียงที่มาจาก ส.ส.เพราะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
เพราะฉะนั้นฝ่ายที่มีจำนวน ส.ส.มากกว่า มีความชอบธรรมที่จะจัดตั้งรัฐบาล แต่หากเป็นการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงถึงจะใช้คะแนนป็อปปูล่าโหวตได้ แต่การเลืทอกตั้งครั้งนี้ควรใช้เสียงข้างมากของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจัดตั้งรัฐบาลและเลือกนายกรัฐมนตรี นี่เป็นธรรมประเพณปฎิบัติของประชาธิปไตย