หวังเหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนออกมายืนยันในการอ้างสิทธิ์เหนือไต้หวันของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยระบุว่า "เมื่อเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของจีน ความเป็นหนึ่งเดียวของดินแดน และผลประโยชน์หลักของชาติ ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับการประนีประนอมและการอ่อนข้อใดๆ" พร้อมกล่าวอย่างหนักแน่นว่า "ไม่มีใครควรเหยียดหยามความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ความตั้งใจอันแน่วแน่ และความสามารถของชาวจีนในการปกป้องอำนาจอธิปไตยและดินแดนของตนเอง"
"ไต้หวันคือพื้นที่ที่ไม่สามารถแยกออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้ กรณีข้อพิพาทไต้หวันคือเรื่องของกิจการภายในประเทศของจีนเท่านั้น และไม่อนุญาตให้ชาติใดเข้ามาแทรกแซงได้" ... "สหรัฐฯ ควรที่จะระมัดระวังคำพูดและการกระทำในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน และไม่ควรส่งสัญญานผิดๆ ไปยังกองกำลังรักษาดินแดนเพื่ออิสรภาพของไต้หวัน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงความมั่นคงและสันติในช่องแคบไต้หวัน" โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าว
ความเคลื่อนไหวนี้เป็นการตอบกลับไปยังการแสดงความเห็นของ 'โจ ไบเดน' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีขึ้นบนเวทีทาวน์ฮอลล์ ซึ่งจัดโดย CNN ในวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยไบเดนถูกยิงคำถามถึงสองครั้งว่าสหรัฐฯ จะปกป้องไต้หวันหรือไม่ หากไต้หวันถูกจีนแผ่นดินใหญ่โจมตี ซึ่งไบเดนกล่าวว่า "ใช่ เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำเช่นนั้น" อย่างไรก็ตาม ไบเดนเคยกล่าวในลักษณะนี้มาก่อนแล้ว แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นในแนวทางเดิมที่มีต่อไต้หวัน
France24 รายงานว่า ไบเดนย้ำชัดว่าเขาไม่ต้องการให้เกิด 'สงครามเย็น' ขึ้นอีก แต่เขามีความกังวลอย่างยิ่งว่าจีน "กำลังจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะทำให้สองชาติมหาอำนาจต้องตกอยู่ในสภาพที่อาจจะต้องทำความผิดพลาดที่ร้ายแรงขึ้นก็เป็นได้"
"ผมอยากจะทำให้จีนเข้าใจว่าเราจะไม่ก้าวถอยหลัง และเราจะไม่เปลี่ยนวิธีคิดใดๆ" ไบเดนขยายความในประเด็นที่ถูกถามเรื่องความพร้อมในการ 'ปกป้องไต้หวันจากจีน'
จางตุนหาน โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันกล่าวว่าที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้แสดงออกถึงการสนับสนุนไต้หวันผ่านมาตรการอันหลากหลายที่มีความเป็นรูปธรรม ขณะที่ประชากรทั้ง 23 ล้านคนของไต้หวันก็จะไม่มีทางยอมจำนนต่อการกระทำและแรงกดดันอย่างไม่รอบคอบโดยเด็ดขาด
"ไต้หวันจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ในการปกป้องตนเองของเรา และจะเดินหน้าทำงานร่วมกับชาติพันธมิตรที่ยึดถือในคุณค่าหลักเดียวกันเพื่อสร้างความมั่นคงและสันติให้กับช่องแคบไต้หวันและและภูมิภาคอินโดแปซิฟิก" จางตุนหานกล่าว
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติการขายอาวุธล็อตใหญ่ให้กับไต้หวัน เป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 23,000 ล้านบาท ซึ่งอาวุธล็อตดังกล่าวรวมถึง ปืนใหญ่อัตตาจร หรือ พาหนะซึ่งขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองที่ติดตั้งปืนใหญ่ จำนวน 40 กระบอก
นอกจากนั้นก็ยังมีชุดเปลี่ยนกระสุนปืนใหญ่ให้เป็นกระสุนนำวิถี 1,698 ตัว อะไหล่สำหรับยุทโธปกรณ์หลากชิด สถานีภาคพื้น อุปกรณ์อัพเกรทปืนใหญ่ฮาววิตเซอร์ที่ไต้หวันใช้ประจำการอยู่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนกระสุนปืนใหญ่มาตรฐาน ให้เป็นอาวุธอัจฉริยะมีระบบนำวิถีด้วยตัวเองเข้าหาเป้าหมายได้อีกเกือบ 1,700 ชุด โดยมีบริษัท BAE Systems Plc เป็นคู่สัญญาหลัก
การให้ความช่วยเหลือในการขายอาวุธล็อตใหญ่ให้ไต้หวันทำให้กระทรวงการต่างประเทศของจีนออกแถลงการณ์ในวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา แสดงความไม่พอใจอย่างมาก โดยระบุว่าการกระทำของสหรัฐฯ ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีนอย่างร้ายแรง
ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุ "สิ่งนี้กำลังส่งสัญญาณผิดๆ ให้แก่กองกำลังแบ่งแยกดินแดนไต้หวัน และสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนสหรัฐฯ รวมทั้งเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันอย่างรุนแรง จีนของคัดค้านการขายอาวุธครั้งนี้อย่างจริงจัง และแสดงความไม่พอใจอย่างเป็นทางการถึงสหรัฐฯ ...จีนจะขอใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตามกฎหมายของตน"
ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนพยายามสร้างความกดดันทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารต่อไต้หวันอย่างต่อเนื่อง อาทิ การที่จีนได้ส่งเครื่องบินรบ 77 ลำ รุกล้ำเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศของไต้หวัน หรือ ADIZ มากเป็นประวัติการณ์ภายในระยะเวลาเพียง 48 ชม.
โดยแบ่งเป็น 37 ลำในวันที่ 1 ต.ค.และอีก 39 ลำในวันที่ 2 ต.ค. ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนการรุกล้ำเขต ADIZ ที่สูงที่สุดที่เคยมีการบันทึกและเผยแพร่ต่อสาธารณะนับตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา และยังมีการกระทำในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกหลังจากนั้น นับเป็นการส่งสัญญาณไปยังความร่วมมือระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ ที่แน่นแฟ้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แสดงความเห็นต่อความพยายามในการกดดันนี้ โดยย้ำชัดว่า "ความยึดมั่นของสหรัฐฯ ที่มีต่อไต้หวันนั้นมั่นคงอย่างมาก และพร้อมจะเดินหน้าสร้างความมั่นคงและสันติให้มีขึ้นในไต้หวันและภูมิภาค" พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลปักกิ่งยุติการกดดันไต้หวันทั้งทางเศรษฐกิจ ทางการทูต และทางการทหารโดยเร็ว