ไม่พบผลการค้นหา
สถานทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ แจง "หนุ่มแว่นหัวร้อน" ไม่ใช่ลูกชายเลขานุการโท วานนี้ (23 ต.ค.) เจ้าตัวพร้อมพ่อ-แม่ และแฟนสาว เข้าพบตำรวจ เผยเป็นโรคซึมเศร้า ควบคุมตัวเองไม่ได้ ตำรวจแจ้งข้อหาดูหมิ่นซึ่งหน้า บริษัทต้นสังกัดไล่ออก

จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวีดิโอความยาวประมาณ 5 นาที เป็นภาพเหตุการณ์กรณีชายหนุ่มใส่แว่นขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค เฉี่ยวชนกับรถกระบะ บนถนนอักษะ โดยมีการลงจากรถมาเจรจาด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพ เหยียดหยามและด่าทอต่างๆ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย และมีข่าวลือว่าชายหนุ่มใส่แว่นดังกล่าวเป็นลูกชายของเลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ

ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก "สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ" ชี้แจงว่า ตามที่ปรากฏข่าวบนหนังสือพิมพ์และในสื่อออนไลน์ว่า มีบุคคลแสดงพฤติกรรมดูถูก ดูหมิ่นเหยียดหยามคนไทยทั้งประเทศ และถูกระบุว่า เป็นลูกชายของเลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ นั้น

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ ขอเรียนว่า ลูกชายของเลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูตฯ คนปัจจุบันยังเรียนอยู่เกรด 8 ณ โรงเรียนท้องถิ่นในฟินแลนด์ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

ตร.แจ้งข้อหาดูหมิ่นซึ่งหน้า-เจ้าตัวพกยารักษาโรคซึมเศร้ามาให้ดู

ขณะที่เมื่อวานนี้ (23 ต.ค.62) เมื่อเวลา 19.00 น. ที่สภ.พุทธมณฆล จ.นครปฐม พ.ต.อ.กัมปนาท ณ วิชัย ผู้กำกับการ สภ.พุทธมณฆล เชิญตัวหนุ่มแว่นคนขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค มารับทราบข้อกล่าวหาในข้อหาดูหมิ่นซึ่งหน้า ขณะที่บริเวณหน้า สภ.พุทธมณฑล มีกลุ่มประชาชนเดินทางมาจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์คดีดังกล่าว

พ.ต.อ.กัมปนาท เปิดเผยว่า ได้เชิญตัวหนุ่มคนขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค มารับทราบข้อกล่าวหาดูหมิ่นซึ่งหน้า จากการมีบางช่วงบางตอนภายในคลิป มีการด่ากราดและแอบอ้างเจ้าหน้าที่ ซึ่งในส่วนนี้เจ้าพนักงานสามารถเป็นเจ้าทุกข์ได้ แม้ในส่วนคู่กรณีที่ขับรถกระบะจะไม่แจ้งความก็ตาม โดยในข้อหานี้มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี และจะสอบปากคำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพิ่มเติม

นอกจากนี้ชายหนุ่มวัย 24 ปี คนดังกล่าว ได้นำยาระงับโรคซึมเศร้ามายืนยันต่อเจ้าหน้าที่ด้วยว่าเป็นโรคซึมเศร้าชนิดควบคุมตัวเองไม่ได้ โดยบนซองยาระบุได้ว่า "ให้รับประทานทุกวัน"

พ่อ-แม่ ขอโทษแทนลูกชายที่ประพฤติไม่เหมาะสม

ด้าน พ่อของหนุ่มแว่นรายนี้ ได้กล่าวขอโทษแทนลูกชายที่ประพฤติไม่เหมาะสม แต่คิดว่าลูกชายคงเครียดและระบายออกไป เพราะมองว่าสังคมเมืองไทยไม่มีเหตุผล คนไทยทุกวันนี้ไม่มีน้ำใจ และเขาเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก สังคมที่เจอจากเมืองนอกเป็นสังคมที่ไม่ค่อยมีคนขับรถซี้ซั้วและมีวินัย แต่คนไทยทุกวันนี้ไม่มีน้ำใจ อีกทั้งลูกชายน่าจะเครียดเพราะขับรถด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ยังเจอเรื่อยๆ พร้อมยอมรับว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะเสียดายรถ และอัดอั้นเก็บกดมานานแล้ว เพราะไปอยู่ต่างประเทศมา 20 ปี ตั้งแต่ 6 ขวบ ปกติเป็นคนพูดดี ไม่ได้มีอะไร ทำงานด้านต่างประเทศ

บริษัทต้นสังกัดประกาศไล่ออก

บริษัท กาซ่า ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่ชายหนุ่มคนดังกล่าวทำงานอยู่ ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับกรณีนี้ว่า จากเหตุการณ์ตามคลิปที่โพสต์ลงสื่อ social media ต่างๆ ซึ่งมีพนักงานของบริษัท กาซ่า ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ใช้คำพูดและแสดงกิริยาก้าวร้าวรุนแรง รวมถึงหมิ่นประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ ทางบริษัทฯ รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พนักงานดังกล่าวพ้นสภาพการเป็นพนักงานทันที

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :