นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐมนตรีที่เป็น ส.ส. สามารถ ลงมติในร่างพ.ร.บ.ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ได้ ซึ่งได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ แต่ไม่ควรลงมติกรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจตนเอง แต่หากเป็นเรื่องของกฎหมายสำคัญ หรือ เป็นเรื่องส่วนรวม ไม่มีส่วนได้เสียส่วนตัว สามารถลงมติได้ ดังนั้นรัฐมนตรีทั้ง 19 คน เป็น ส.ส. ได้รับการชี้แจงว่าสามารถลงมติร่างงบประมาณได้เช่นเดียวกับกฏหมายสำคัญอื่นๆ
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ขอรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส. เข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน เนื่องจากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเป็นเรื่องที่สำคัญเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง ฝ่ายค้านสอบถามมายังกระทรวงใดก็สามารถที่จะตอบได้ทันที โดยเฉพาะในวาระที่หนึ่ง และนายกรัฐมนตรียังได้กำชับเรื่องสัดส่วนคณะกรรมาธิการรัฐมนตรี 15 คน ที่จะต้องพิจารณาในชั้นแปรญัตติ ขอให้ผู้แทนรัฐบาลทั้ง 15 คนนี้ ต้องเป็นคนที่มีเวลาว่าง เพราะนั่งอยู่ตลอดการประชุม เนื่องจากการพิจารณาจะเป็นไปทีละมาตรา ยืนยันคณะกรรมาธิการทั้ง 15 คน ไม่ได้ไปนั่งแบบโก้ๆหรือแค่เป็นเกียรติให้กับตนเอง เพราะเป็นการพิจารณากฎหมายที่ยาวนานที่สุด
จึงขอให้เลือกคนที่มีเวลาเป็นหลัก ซึ่งขณะนี้ในส่วนของคณะรัฐมนตรีคัดเลือกคณะกรรมาธิการได้เพียง 3 คน เท่านั้น ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังและปลัดกระทรวงการคลัง เพราะมีหน้าที่เกี่ยวข้อง ส่วนอีก 12 คน จะให้แต่ละพรรคไปพิจารณาและเสนอกลับมายังรัฐบาล ส่วนจะกำหนดวันพิจารณาร่าง ราชบัญญัติงบประมาณในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรกี่วัน วิปทั้งสองฝ่ายจะต้องพิจารณาร่วมกัน
อย่างไรก็ตามหากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณไม่ผ่านรัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไรนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า ตามหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามระบบรัฐสภา กำหนดไว้แล้วว่า สิ่งไหนที่แสดงว่าสภา เสียงข้างมากไม่ไว้วางใจรัฐบาล รัฐบาลนั้นไม่พึงที่จะอยู่ต่อไป การไม่ไว้วางใจนั้น แสดงออกได้ 2 อย่าง กล่าวคือ ไม่ไว้วางใจโดยเปิดเผย และไม่ไว้วางใจโดยปริยาย ซึ่งแสดงออกด้วยการรัฐบาลเสนอข้อกฎหมายสำคัญแล้วสภาไม่ผ่าน ก็ถือว่าเป็นไม่ให้อำนาจรัฐไปบริหารประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ควรจะอยู่ต่อ ซึ่งวิธีที่รัฐบาลจะไม่อยู่ต่อคือการลาออกและยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการเมืองไทยก็ปฏิบัติเช่นนั้นมาก่อน