ไม่พบผลการค้นหา
รองนายกฯและรมว.คลัง 'พิชัย' จับมือ รมว.พณ. 'พิชัย' เตรียมบินไปอเมริกา พูดคุยกับหน่วยงานราชการ ผู้ประกอบการและเกษตรกรสหรัฐฯ ยึดหลักการ 'ไทยเป็นพันธมิตรที่สร้างสรรค์' เชื่อปูทางสู่การเจรจาเชิงลึกขั้นต่อไปในทุกระดับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่มีการสรุปประเด็นของคณะกรรมการติดตามมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกา ทั้งในส่วนกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย และผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ผู้ส่งออกและนำเข้าด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ในวันอังคารที่ 15 เมษายนนี้ คณะกรรมการฯจะสรุปผลทั้งหมด เพื่อวิเคราะห์ผลได้ ผลเสียและความเป็นไปได้ เพื่อเตรียมเป็นข้อมูลในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะผู้เจรจาจะเดินทางล่วงหน้าไป ที่นครซีแอตเทิล สหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน นี้ โดยคณะล่วงหน้าจะเดินทางไปพบกับนักธุรกิจในกลุ่มต่างๆ ทั้ง ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนด้านอื่นๆ จากนั้นในวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน นี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเดินทางไปร่วมกับคณะของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเป็น“ทีมไทยแลนด์ ”และทั้งคณะจะเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดีซี เพื่อเตรียมเข้าพบกับผู้แทนของรัฐบาลสหรัฐ ฯ ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันจันทร์ที่ 21 เมษายน นี้

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่ารัฐบาลไทยมีความพร้อมในการพูดคุยโดยข้อมูลทั้งหมดได้ถูกรวบรวมมาตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน ผ่านการประชุมหารือ ทั้งในส่วนของรัฐบาลและทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรวมทั้งภาคเอกชน อาทิ ผู้แทนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย ผู้แทนบริษัทธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรมและสินค้าทั้งหมดที่มีการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้ยุทธศาสตร์การเจรจาที่เน้น “สร้างความสมดุลทางการค้าและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” ทั้งนี้เชื่อว่าจะ เป็นการปูทางสู่การเจรจาเชิงลึกระหว่างไทย-สหรัฐ ฯ ในระดับต่างๆ ในโอกาสต่อไป  

คณะเจรจายังมั่นใจว่าประเทศไทยจะมีทางออกที่ดีที่สุดในการค้าระหว่างประเทศครั้งนี้อย่างแน่นอน สำหรับแนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าและมาตรการด้านภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้ 5 หลักการดังนี้

1.การเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่ไทยและสหรัฐฯ เกื้อหนุนกัน โดยรัฐบาลไทยเห็นว่าความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพร่วมกัน เช่น เกษตร-อาหาร และเทคโนโลยี ถือเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสองประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตพรีเมียมเกรดและสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโลกได้มากขึ้น หากมีการเสริมวัตถุดิบจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ที่มีต้นทุนต่ำและคุณภาพสูง

2.การเปิดตลาดและลดภาษี ลดอุปสรรคทางการค้าตาม National Trade Estimate 2025 ของสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลพร้อมพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีนำเข้า และบริหารโควตาสินค้าเกษตรที่สหรัฐฯ มีความสามารถในการแข่งขัน เช่น ข้าวโพด เพื่อเปิดตลาดในลักษณะที่ไม่กระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยจัดสรรการนำเข้าเฉพาะช่วงที่สินค้าในประเทศขาดแคลน สร้างระบบการค้าที่เป็นธรรมและยืดหยุ่นต่อทุกฝ่าย

3.การเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ ในสินค้าที่ไทยจำเป็นต้องใช้ โดยไทยเตรียมพิจารณานำเข้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ และวัตถุดิบที่ภาคอุตสาหกรรมต้องใช้แต่ผลิตไม่ได้เพียงพอ เช่น วัตถุดิบด้านปิโตรเคมี หรือเครื่องบินพาณิชย์ เพื่อเติมเต็ม supply chain ของประเทศ รวมถึงสินค้าที่ประเทศไทยเป็น Net Importer อาทิ ชีส ถั่ววอลนัท ผลไม้สดที่ไทยผลิตเองไม่ได้ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ลซึ่งจะเป็นการสร้างสมดุลด้านการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ให้ลดการได้เปรียบดุลการค้า

 4.การตรวจสอบเพิ่มความเข้มงวดสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ป้องกันการสวมสิทธิ์จากประเทศที่สาม โดยรัฐบาลตระหนักถึงความกังวลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าราคาต่ำจากประเทศที่สามผ่านไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จึงจะมีมาตรการคัดกรองสินค้าต้นทาง ตรวจสอบแหล่งกำเนิดอย่างเข้มงวด และยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยให้โปร่งใสและเป็นไปตามหลักสากล สร้างความเชื่อมั่นในฐานะคู่ค้าที่มีธรรมาภิบาล

5.การส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ แล้ว ไทยยังมีแผนผลักดันให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปในสหรัฐฯ โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ผลิตสินค้าส่งออกจากฐานการผลิตในอเมริกาไปยังตลาดโลก ซึ่งไม่เพียงช่วยกระจายความเสี่ยง แต่ยังช่วยลดแรงต้านด้านการค้าและสร้าง value chain ใหม่ที่เข้มแข็ง

ทั้งนี้ ในการประชุมหารือและได้ข้อสรุปในทุกประเด็นดังกล่าวแล้วนั้น ได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบทุกระยะซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้คณะเจรจาดำเนินการให้เต็มที่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายทั้งการค้าระหว่างประเทศและภาคธุรกิจเอกชนที่เป็นส่วนสำคัญในการนำผลิตภัณฑ์เมดอินไทยแลนด์ ไปสู่ตลาดสหรัฐและตลาดโลกต่อไป นายจิรายุกล่าว