ไม่พบผลการค้นหา
สศค.คาดจีดีพีปี 2563 ติดลบ 8.5% หนักจากจำนวนนักท่องเที่ยว คาดปีหน้าเศรษฐกิจจะกลับมาเป็นบวกระหว่างร้อยละ 4-5

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าประมาณการตัวเลขอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยปี 2563 ติดลบร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสำคัญจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ลดลงและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าซึ่งทรุดตัว

ทั้งนี้ แม้กระทรวงการคลังจะไม่ได้แถลงตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจรายไตรมาส แต่แสดงความมั่นใจว่า "เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว" ในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ด้วยอัตราการติบลบของจีดีพีสองหลัก

ลวรณ แสงสนิท-ผู้อำนวยการ-สศค.
  • ลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)

4 ปัจจัย จีดีพีติดลบ

ข้อมูลจากกระทรวงการคลังชี้ว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้าไทยทั้งปี 2563 มีประมาณ 6.8 ล้านคน คิดเป็นการลดลงถึงร้อยละ 82.9 เมื่อเทียบกับตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้าไทยตลอดทั้งปี 2562 ที่ 39.8 ล้านคน

เมื่อมองในเชิงมูลค่า รายได้จากการท่องเที่ยวทั้งปีนี้ จะลดลงเหลือ 340,000 ล้านบาทเท่านั้น คิดเป็นการหดตัวร้อยละ 82.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่ประเทศเคยมีรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 1.93 ล้านล้านบาท

นักท่องเที่ยว โควิด  โคโรนา สุวรรณภูมิ

ผอ.สศค.ย้ำว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการฟื้นตัวของจีดีพีในปี 2564 จึงขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นหลัก โดย สศค.มองตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทยปี 2564 ประมาณ 15-16 ล้านคน ส่งผลหนุนการกลับมาของตัวเลขจีดีพีให้เติบโตระหว่างร้อยละ 4-5 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

นอกจากการท่องเที่ยว ปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจของ 15 ประเทศคู่ค้าก็มีน้ำหนักกระทบเศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกัน สศค.ชี้ว่า จีดีพีประเทศคู่ค้าหลักของไทยติดลบแทบทั้งหมดในปีนี้ มีเพียงแค่จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และไต้หวันเท่านั้นที่ยังเห็นตัวเลขจีดีพีเป็นบวกในระดับร้อยละ 1.5 , 1.6 , 1.8 และ 1.7 ตามลำดับ

ขณะที่ประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปีนี้ ถูกประเมินไว้ที่ 31.71 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากปี 2562 ร้อยละ 2.9 ประกอบกับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ราคา 43.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล

ท้ายที่สุด ปัจจัยรายจ่ายภาคสาธารณะ (การใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนภาครัฐ) จากฝั่งรัฐบาลที่กระทรวงการคลังประเมิน ตามข้อมูล ณ เดือน ก.ค.2563 คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 3.94 ล้านล้านบาท เติบโตร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 

นายลวรณ ปิดท้ายว่า ปัจจุบันกระทรวงการคลังติดตามการดูแลช่วยเหลือประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่จำเป็นต้องพิจารณาแต่ละมาตรการอย่างถี่ถ้วนและพร้อมดำเนินงานต่อกับรัฐมนตรีคนใหม่ที่กำลังจะเข้ามา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง;