สำนักข่าว BBC รายงานว่า เอกสารลับของรัฐบาลจีนที่หลุดออกมานี้ เผยให้เห็นถึงข้อมูลเชิงลึกที่ระบุพฤติกรรมต่างๆ ของชาวมุสลิมอุยกูร์จำนวนมากที่อยู่ในค่ายปรับทัศนคติในเขตปกครองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกของจีนไว้อย่างละเอียด และเป็นข้อมูลส่วนตัวอย่างมากของชาวอุยกูร์มากกว่า 3,000 คน ที่ก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่หลักฐานออกมาด้วยว่าพวกเขาไม่ได้เข้ามาอยู่ในค่ายแห่งนี้อย่างสมัครใจ
เอกสารซึ่งเป็นบันทึกลับฉบับนี้มีทั้งหมด 137 หน้ากระดาษ อัดแน่นไปด้วยตารางหลายร้อยช่องที่แบ่งข้อมูลอย่างชัดเจน เช่น ความถี่บ่อยในการสวดมนตร์ ลักษณะการแต่งกายตามปกติในชีวิตประจำวัน บุคคลที่พวกเขาชอบสนทนาด้วย ไปจนถึงพฤติกรรมต่างๆ ของสมาชิกในครอบครัวของตัวผู้ที่ถูกกักกัน หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมการใส่ผ้าคลุมฮิญาบ ระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลต่อภาครัฐ ไปจนถึงสาเหตุของการถูกส่งตัวมายังค่ายปรับทัศนคติแห่งนี้ที่บางคนถูกส่งตัวเข้ามาเพียงเพราะว่า "หลงคลิกเข้าเว็บไซต์ต่างประเทศ" เท่านั้น
แฉเอกสารลับรัฐบาลจีน ลงบันทึกพฤติกรรมการใช้ชีวิตชาว #อุยกูร์ และบุคคลแวดล้อมอย่างละเอียด 137 หน้า ตั้งแต่การแต่งกาย การใส่ฮิญาบ ความถี่การสวดมนตร์ ไปจนถึงคนที่คุยด้วย ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า 'ชะตา' ของชาวอุยกูร์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทางการจีน pic.twitter.com/Tv3pMXKfm8
— Joe Chonlawit (@JoeChonlawit) February 18, 2020
ชะตาของชาวมุสลิมอุยกูร์ขึ้นอยู่กับ 'คำตัดสิน' ของรัฐบาลจีน
คอลัมน์สุดท้ายในตารางของเอกสารฉบับนี้ระบุ 'คำตัดสิน' ของผู้มีอำนาจไว้อย่างชัดเจนว่า ชาวมุสลิมอุยกูร์แต่ละคนที่ยังอยู่ในค่ายปรับทัศนคตินั้นสมควรที่จะได้รับการปล่อยตัวแล้วหรือยัง หรือแม้กระทั่งบุคคลที่ได้รับการปล่อยตัวแล้วควรถูกเรียกกลับมาเข้าค่ายอีกหรือไม่ โดยรายละเอียดทั้งหมดนอกจากเป็นการเจาะจงข้อมูลชีวิตส่วนตัวของชาวมุสลิมอุยกูร์แล้ว ยังเป็นการเก็บบันทึกข้อมูลของบุคคลแวดล้อมของคนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลภูมิหลังของชีวิต ความสัมพันธ์กับครอบครัว ญาติ เพื่อนบ้าน และคนรู้จัก
ข้อมูลสำคัญนี้คือสิ่งที่ ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงจากคำจำกัดความของค่ายปรับทัศนคติที่จีนเคยประกาศไว้ โดยผู้ว่าการเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ระบุว่า
"ศูนย์ฝึกอาชีพนี้จะเน้นในเรื่องการปรับภาษา การให้ความรู้เรื่องกฎหมาย เสริมทักษะอาชีพ ควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาขั้นสูง ซึ่งผู้ที่เข้ารับการอบรมในศูนย์ดังกล่าวจะได้รับการสอนภาษาจีนแมนดาริน การอบรมให้ยอมรับในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน นอกจากนี้ในศูนย์ดังกล่าวจะเสริมทักษะและให้โอกาสได้ฝึกหัดอาชีพต่างๆ รวมไปถึงเรื่องธุรกิจการค้า เช่น การตัดเย็บเสื้อผ้า และการทำรองเท้า การซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การตัดแต่งทรงผม และการเรียนเรื่องอีคอมเมิร์ชอีกด้วย"
ดร. เอเดรียน เซนซ์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของมูลนิธิ Victims of Communism Memorial Foundation ในมลรัฐวอชิงตันของสหรัฐฯ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านนโยบายการปกครองในเขตซินเจียง เชื่อว่าเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารจริง พร้อมกล่าวว่า "เอกสารฉบับนี้คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต ที่ทำให้เราเห็นว่ารัฐบาลจีนยังคงเดินหน้ากลั่นแกล้งทางศาสนาและลงโทษคนกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องเพียงเพราะชาวมุสลิมอุยกูร์ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ"
แน่นอนว่ารัฐบาลจีนนั้นปฏิเสธทุกการกล่าวหาว่ากำลังละเมิดชาวมุสลิมอุยกูร์อยู่ โดยยืนยันว่าการกระทำนี้เป็นไปเพื่อป้องกันการก่อการร้ายและควบคุมกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนา ซึ่งการเปิดเผยเอกสารลับของทางการครั้งนี้ คาดว่ามาจากการจงใจปล่อยข้อมูลลับของคนที่อยู่ภายในเขตซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับการปล่อยข้อมูลลับสุดยอดครั้งก่อนหน้าในปี 2019 ที่ผ่านมา